วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2558

ถ้ำธารลอด กับการเดินทางของความคิด

วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗



๘.๑๕ น. ผมตื่นขึ้นมาในบนเตียงในบ้านพักของอุทยานแห่งชาติเฉลิมรัตนโกสินทร์ อ.ศรีสวัสดิ์ จ. กาญจนบุรี  อาจจะเป็นเช้าที่สายไปสักหน่อยเมื่อเทียบกับวันที่ผ่านมา นั่นเพราะเมื่อวานผม กับ พ่อ แม่ และหลานสาวมาถึงที่นี่ตอนเกือบค่ำ ก็เลยอยากจะพักผ่อนกันให้เต็มที่เพราะท่องเที่ยวเดินทางกันมาตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะผมที่ไปกินเหล้าเมากับเพื่อนใหม่ที่มากางเต้นท์กันอยู่ในบริเวณอุทยานเมื่อคืน ก็เลยมีอาการแฮงค์นิดหน่อยซะด้วย

หลังจากอาหารเช้าง่ายๆที่ร้านค้าหน้าทางเข้าที่ทำการอุทยาน ผมก็กลับเข้ามาเที่ยวถ้ำธารลอดกัน แต่เนื่องจากเส้นทางการเดินเท้าศึกษาธรรมชาติเข้าไปภายในถ้ำธารลอดนั้นไกลมากพอสมควร พ่อกับแม่และหลานสาวของผมคงไปด้วยไม่ไหว เราจึงตกลงกันว่าผมจะเดินเข้าไปคนเดียว ส่วนคนอื่นจะรออยู่ด้านนอกจนกว่าผมจะกลับมา


ตั้งกล้องถ่ายรูปที่หน้าปากถ้ำธารลอดน้อย ๙.๒๕ น.
ถ้ำธารลอดในหัวผมแว่บแรกก่อนรู้จักที่นี่ก็นึกถึงถ้ำผีแมน ที่ปางมะผ้า ก่อนเลย ไม่เคยรู้ว่าจะมีอะไรแบบนั้นอยู่ใกล้ๆแถบนี้ อาจเป็นเพราะชื่อที่ทำการอุทยานที่ฟังดูไม่คุ้นหูหรืออย่างไรไม่แน่ใจ แต่พอได้ศึกษาข้อมูลจากในอินเตอร์เน็ตแล้วทำให้ได้รู้ว่าเป็นสถานที่ที่น่าสนใจมาก เพราะนอกจากจะมีความสวยงามของธรรมชาติ ที่นี่ยังเป็นแหล่งข้อมูลทางโบราณคดีด้วย เพราะภายในถ้ำพบเครื่องถ้วยโบราณอย่างเครื่องสังคโลก เป็นต้น นั่นหมายความว่ามีการใช้ถ้ำนี้เพื่ออะไรสักอย่างในสมัยโบราณ ซึ่งข้อสันนิษฐานแรกของผมก็คือเป็นสถานที่ฝังศพ ทำนองเดียวกันกับที่แหล่งฝังศพในป่าบนเทือกเขาถนนธงชัย ทางจังหวัดตาก (Thanyakorn Wong-on,  Sukhothai and Si Satchanalai wares from the Thai-Burma border,  Sukhothai and Si Satchanalai Ceramics Inspiration and Realization. ฺ Bangkok, 2013.)



ภาพความงามของหินงอกหินย้อยภายในถ้ำธารลอดน้อย

ถ้ำธารลอดน้อยเป็นถ้ำที่เกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำที่ไหลออกมาจากภูเขาหิน หน้าปากถ้ำที่เป็นลำธารไหลออกมา ตรงนั้นจะมีหาดทรายพอให้เด็กๆเล่นน้ำได้  และสามารถเอารถยนต์เข้ามาเกือบถึงหน้าถ้ำได้เลย(ถ้าคนไม่เยอะ) ก่อนเข้าสู่ภายในถ้ำจะมีด่านตรวจไม่ให้เราพกขวดพลาสติกและของที่จะเป็นขยะได้เข้าไป แล้วให้เราเซ็นต์ชื่อไว้พร้อมระบุเวลาเข้า (๙.๑๕ น.) ผมหยุดไหว้ศาลเพียงตาใกล้ๆกันแล้วเข้าสู่ถ้ำธารลอดน้อย ทางเข้าถ้ำต้องก้มสักหน่อยแล้วลอดเข้าสู่โถงด้านใน มีทางเดินคอนกรีตลัดเลาะไปตามธารน้ำในถ้ำที่เขาเดินไฟไว้ให้เราชมความงามของหินงอกหินย้อยได้สะดวก บรรยากาศภายในถ้ำเย็นสบายทำให้เดินชมความงามได้อย่างเพลิดเพลิน ผมสะดุดตากับหินก้อนหนึ่งที่ดูคล้ายกับพระคเณศเอนองค์ตะเคงอยู่ แม้จะมีป้ายบอกว่าหินเต่าแต่ผมมีความรู้สึกว่าเหมือนพระคเณศมากกว่าเป็นไหนๆ


The Ganesha Stone หินรูปคล้ายองค์พระคเณศภายในน้ำธารลอดน้อย

......................................


น้ำตกเล็กๆระหว่างทาง
พ่อ แม่ และหลานสาวเดินมากับผมจนถึงตรงปากถ้ำอีกด้านของถ้ำธารลอดน้อย นับจากนี้จะเป็นทางเดินเลียบธารน้ำเข้าไป บรรยากาศในนี้ค่อนข้างสบายมีต้นไม้นานาชนิดที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะต้นพระเจ้าห้าพระองค์ขนาดหลายคนโอบที่ชูลำต้นสูงขึ้นไปแผ่กิ่งก้านใบปกคลุมหุบเขาให้ร่มรื่น มีต้นไม้คล้ายพวกต้านจาก นึกถึงต้นตาดที่เคยเห็นในหุบป่าตาดที่อุทัยธานี มีสะพานไม้ข้ามลำธารไปอีกฝั่ง ผมเดินผ่านต้นตะเคียนสูงใหญ่และต้นยาง รู้สึกน่าตื่นตาตื่นใจกับเรือนยอดของมัน ชวนให้คิดถึงป่าของชนเผ่าในภาพยนตร์เรื่อง AVATAR เข้าไปลึกอีกสักหน่อยผมก็มาถึงสะพานไม้ไผ่ข้ามธารน้ำกลับไปอีกฝั่ง ทางเดินระยะนี้เริ่มไต่ระดับขึ้นกว่าที่ผ่านมา ธารน้ำเห็นเป็นชั้นน้ำตกไหลเซาะลงมาตามซอกหิน ทำให้ต้องแวะเก็บภาพเป็นระยะ


ดอกไม้กับมอสบนโขดหิน
ที่น้ำตกใหญ่ชั้นที่สอง
ระหว่างที่ผมแวะถ่ายภาพมีคนเดินผ่านผมขึ้นไปเป็นระยะ บางคนก็เป็นนักท่องเที่ยวปกติ บางคนก็เป็นชาวบ้าน และก็มีกลุ่มวัยรุ่นที่เข้าไปส่งเสียงโหวกเหวก ผมเดินขึ้นไปจนถึงน้ำตกชั้นแรกที่ไหลลงมาจากซอกเขา มีเด็กวัยรุ่นเล่นน้ำกันอยู่ผมจึงเดินเลยขึ้นไป จากจุดนี้เป็นบันได้ไม้ไต่ระดับขึ้นไปชันพอสมควร เดินขึ้นมาถึงต้นตะเคียนใหญ่ก็จำต้องหยุดพัก ต้นตะเคียนนี้มีลำต้นสีดำเหยียดตรงสูงขึ้นไปเป็นสิบเมตรดูสง่างามมาก เปลี่ยนภาพจากหนังอวตารมานึกถึง Lothlorien Forest จาก The lord of the rings

สุดทางบันไดสูงชันเป็นเราต้องไต่ขึ้นไปบนทางเดินที่มีก้อนหินและแขนงของลำธารที่ไหลผ่าน แล้วลอดเข้าไปอุโมงค์ที่ปกคลุมด้วยพุ่มไม้ จากที่นี่เสียงน้ำตกดังก้องทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นเยอะ ไม่นานนักผมก็มาถึงน้ำตกชั้นที่สอง พี่สองคนที่เดินนำหน้าผมขึ้นมาตั้งแต่ปากถ้ำธารลอดน้อยนั่งพักอยู่บนก้อนหินริมธารน้ำตกส่งยิ้มและกล่าวทักทาย ผมขึ้นไปนั่งพักที่น้ำตกนานสักหน่อยเพราะไอเย็นของละอองน้ำช่วยทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาก


เพื่อนร่วมเดินทางระหว่างบันไดจากน้ำตกชั้นที่สอง

ผมเดินขึ้นบันไดไม้ที่สูงชันต่อไปได้สักครึ่งทางก็ต้องหยุดพักอีกครั้ง พี่สองคนเดินตามขึ้นมาทันผมแล้วเราก็พากันเดินไปนั่งพักใต้เงาชะง่อนหินผาบนไหล่เขา จากตรงนี้ลมเย็นสบายมองเห็นทิวทัศน์ของเวิ้งเขาที่เราเดินผ่านมา นั่งสักพักผมก็ขอเดินล่วงหน้ามา

จากจุดที่เรานั่งพักเป็นทางลาดลงไปในหุบเขาหินที่มีลักษณะเป็นโซกและมีลำธารไหลผ่านออกมา ผนังผาทั้งสองข้างเขียวชอุ่มไปด้วยต้นไม้พวกมอส เฟริ์น บางต้นก็มีดอกกะจิดริด เลยออกไปไม่ไกลผมมองเห็นปากถ้ำธารลอดใหญ่เหมือนช่องประตูขนาดมหึมาตรงหน้า




ถายในถ้ำธารลอดใหญ่มีลานกว้างๆและแท่นสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูป เจ้าหน้าที่ของอุทยานคอยเฝ้าสังเกตการณ์และดูแลนักท่องเที่ยวอยู่ที่นี่ เดินลงจากลานภายในถ้ำก็จะพบกับลำธารที่ไหลผ่านช่องผาออกไปตามทางที่เราผ่านมา จากตรงนี้มีนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มที่เดินสวนทางจากทางนี้ลงไป เพราะอีกด้านของถ้ำเจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นสำนักสงฆ์ที่ตั้งอยู่กลางป่า แต่จะมีทางลาดยางเข้ามาถึงจากอีกฟากเขา ผมเดินผ่านถ้ำธารลอดใหญ่เข้าไปยังเขตป่าชื้นที่เต็มไปด้วยต้นไม้จำพวกจาก บรรยากาศค่อนข้างมืดครึ้มเพราะต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านปกคลุมอยู่ด้านบน ผมยังคงเดินตามแนวลำธารไปจนกระทั่งมีสะพานข้ามลำธารไปยังเขตสำนักสงฆ์ที่ดูสะอาดตา


ความสวยงามและยิ่งใหญ่ของถ้ำธารลอดใหญ่ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์
ส่งผลต่อความรู้สึกของมนุษย์จนอาจทำให้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่อดีต
ตามหลักฐานทางโบราณคดี ได้พบเศษภาชนะต่างๆ และเศษภาชนะจำพวกสังคโลกด้วย



รอยเลื้อยพญานาค เกิดจากน้ำหยดน้อยๆที่หยดลงมาจากบนเพดานถ้ำ
ทำให้เกิดเป็นรอยบนหินด้านล่างที่มีลักษณะเหมือนเกล็ดของงู ส่งผลต่อ
ความเชื่อและตำนานเกี่ยวกับพญานาคต่อถ้ำแห่งนี้




ผมเข้าไปสนทนากับพระสงฆ์รูปหนึ่งและแม่ชีสองท่านเพื่อขอน้ำดื่มแก้กระหาย ท่านก็เมตตาจัดแจงให้ ความรู้สึกของผมเหมือนได้รับการดูแลหลังจากผ่านพ้นหนทางไกล นึกดูไปก็เหมือนเวลาที่เจอปัญหาแล้วได้รับการปลอบประโลมและหยุดพัก


แม่ชีบอกกับผมว่าถ้าเดินขึ้นเขาไปอีกสักสิบห้านาที ผมก็จะถึงยอดเขาซึ่งเป็นจุดสูงสุดของภูเขานี้ ด้านบนจะเป็นที่จงกรมในยามดึกของพระที่มาปฏิบัติวิเวก แม่ชีชี้ทางให้ผมแล้วบอกให้ข้ามน้ำกลับไปจากอีกด้านหนึ่ง


ทางเดินจากสำนักสงฆ์เพื่อไปสู่ยอดผา
จากการเดินทางของผมหลายครั้งผมได้เรียนรู้ความหมายของการเดินทางที่ไม่คาดหวังในที่สุดท้ายปลายทาง แต่การเดินทางครั้งนี้สอนผมเรื่องที่สุดของเป้าหมาย ว่ามันอาจจะมีหนทางให้เราไปต่อได้อีก ผมเหนื่อยได้ใจเพราะสนุกกับการกระโดดถ่ายรูปมาตลอดทาง แต่พอกัดฟันเดินมาจนถึงถ้ำใหญ่แล้วก็ยังมีเรื่อราวให้ค้นหาต่อจนกระทั่งมาถึงสำนักสงฆ์แห่งนี้ เหมือนความเหนื่อยเพราะทุกข์กายแลกกับความสุขใจยังไงยังงั้น

ผมเดินขึ้นไปจนถึงโพรงเหนือเพดานถ้ำ ที่เป็นปากปล่องทะลุลงไปยังลานกว้างของถ้ำธารลอดใหญ่ จากตรงนี้ผมยกมือไหว้พระพุทธรูปไม้สององค์จากตรงนี้อีกครั้ง เดินต่อไปอีกนิดเดียวก็มาถึงทางแยกมีป้ายบอกทางหักๆบอกว่าจุดชมวิวไปทางขวา ด้านบนนั้นมีลานปลูกต้นไผ่ย่อมๆ มีชะง่อนหินอยู่ริมหน้าผาพอให้ปีนป่ายขึ้นไปดูทิวทัศน์ที่อยู่ไกลออกไป

ต้นไม้เหลืองริมลำธารใกล้กับปากถ้ำธารลอดใหญ่ ผมสอบถามแล้วไม่ได้ความว่า
ต้นไม้นี้ชื่อว่าต้นอะไร แต่ได้คำตอบว่าเป้นจังหวะที่ดีที่ได้มาเห็นต้นไม้ต้นนี้
เปลี่ยนสีใบเป็นสีเหลืองทั้งต้น

หลังจากลงจากยอดเขาผมเข้าไปกราบพระในสำนักสงฆ์แล้วเดินมาดื่มน้ำและร่ำลาพระท่านกับแม่ชีกลับออกไปตามเส้นทางเดิม เสียงดังกังวานทำผมมองหาที่มา สันนิษฐานว่าคงเป็นเสียงหินร่วงลงมาจากบนภูเขา ผมเห็นร่องรอยของหินที่ตกลงมากระแทกหินในซอกเขาหน้าถ้ำจุดหนึ่งและยังเป็นรอยใหม่ๆ 
การเดินทางขากลับของผมสวนทางกับผู้คนมากมาย ผมใช้เวลาตอนนั้นอยู่กับตัวเอง คิดทบทวนความผิดพลาดในปีที่ผ่านมา ประสบการณ์ในปีนี้ของผมเหมือนจะเป็นการยอมรับความจริงและอยู่กับมันให้ได้ 


แสงแดดจากปล่องเพดานถ้ำธารลอดใหญ่ ๑๓.๑๕ น.


แสงแดดจากโพรงเหนือเพดานถ้ำ มีแดดสาดแสงส่งลงมาต้ององค์
พระพุทธรูปไม้ที่ประดิษฐานอยู่ถายในถ้ำธารลอดใหญ่


มันเป็นความจริงที่ว่าท้ายที่สุดของความพยายามอาจไม่ทำให้เราพบความงามอย่างที่ใจเราคิด แต่เป็นเพราะผมไม่ได้พกความคาดหวังมามากมายนัก และไม่ได้มาเพื่อพิชิตเป้าหมายแต่เลือกที่จะหยุดเก็บภาพความสวยงามของที่นี่มาตลอดเส้นทางที่เหนื่อยจนขาสั่นและบางครั้งก็ดูเงียบเหงา

๑๔.๐๐ น. ถ้าเกิดระหว่างทางที่ผมกำลังเดินกลับ มีคนขอคำแนะนำจากผมว่าเขาควรจะเดินต่อไปไหม ผมคงจะบอกเขาว่า ..ไปเถอะครับ ข้างบนสวยมาก... 
บทสรุปของเส้นทางที่ผ่านมาผมรู้สึกเหมือนเวลาที่มีความรักแล้วความรักนั้นไม่เป็นไปอย่างที่เราตั้งใจ แต่ทว่าความรักนั้นยังคงอยู่ในใจและมันยังคงสวยงามอยู่เสมอ ซึ่งถ้าผมรู้คำตอบอย่างนี้ตั้งแต่แรก ผมก็จะยังเลือก 
...ที่จะเดินไปเจอมันอยู่ดี











2 ความคิดเห็น: