วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2561

รอยพระพุทธบาทที่ปลายแดนพระบาง


สำรวจแหล่งโบราณสถานในเขตจังหวัดนครสวรรค์ 

ท่ามกลางแสงแดดหน้าร้อนและดอกไม้ข้างทาง

  วันเสาร์ที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลาประมาณ ๘.๐๐ น. พี่จิ๊บ มาพร้อมกับ อาจารย์เอฟและคุณจอม แวะรับผมแถวๆที่พักย่านบางกะดี พวกเราออกเดินทางมุ่งหน้าสู่วัดจันเสน จุดนัดพบของเรากับพี่ตั๊วและพี่เอก
เรามาถึงวัดจันเสนเวลา ๑๐.๑๕ น. และได้พบกับพี่ตั๊วกับพี่เอก จึงเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ของวัดด้วยกัน ซึ่งมีการจัดแสดงโบราณวัตถุที่พบในบริเวณเมืองโบราณแห่งนี้หลายชิ้น ซึ่งล้วนแต่เป็นร่องรอยการใช้งานของเมืองนี้มายาวนานมากโดยเฉพาะในสมัยทวารวดี เช่น ฐานดอกบัวหินแกะสลักสันนิษฐานว่าจะเป็นของพระพุทธรูปยืนขนาดใหญ่องค์หนึ่ง ซึ่งน่าจะมีความสูงกว่า ๓ เมตร เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังพบโบราณวัตถุในสมัยเขมรโบราณ และสืบเนื่องมาเรื่อยๆจนถึงสมัยอยุธยาตอนปลาย ภายในพิพิธภัณฑ์ยังมีภาพวาดที่ถอดลายเส้นในศิลปะทวารวดีมาปรับปรุงใหม่และทำได้อย่างสวยงาม
ภาพพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์
โดยอาศัยองค์ประกอบจากภาพสลักบนผนังถ้ำพระโพธิสัตว์ รวมถึงแหล่งอื่นๆมาผสมผสาน

ฐานบัวสำหรับรูปเคารพขนาดใหญ่ แกะสลักจากหินแกรนิต

พวกเราออกเดินทางต่อและไปแวะรับประทานอาหารเที่ยงที่อำเภอตากฟ้า ต่อจากนั้นก็ไปที่พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นของโรงเรียนบ้านไร่ประชาสรรค์ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าพิพิธภัณฑ์ปิดทำให้เราไม่ได้เข้าชม เราจึงเดินทางกันต่อไปที่วัดพระพุทธบาทไพศาลี วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองเก่าเวสาลี ซึ่งเป็นเขาลูกเตี้ยๆในแนวเทือกเขาที่ทอดตัวอยู่ยาวไล่ลงมาจากทิศเหนือ กั้นระหว่างที่ราบภาคกลางและแอ่งเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นลุ่มน้ำป่าสัก เมืองไพศาลีจึงควรเป็นเมืองเก่าที่เชื่อมโยงระหว่างเมืองในลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำป่าสักมาตั้งแต่สมัยทวารวดี ตรงตามหลักฐานทางโบราณคดีที่มีการขุดค้นพบโบราณวัตถุจำนวนมาก

แดดในวันนี้ค่อนข้างร้อนแรงและอากาศก็อบอ้าว โชคดีที่ตั้งของพระมณฑปอยู่บนเนินเขาที่ร่มรื่นและมีทางเดินลัดเลาะขึ้นไปค่อนข้างสบาย เนินเขาลูกนี้มีการปรับแต่งเอาก้อนหินผามาเรียงเป็นเขื่อนล้อมเอาไว้ให้มั่นคงก่อนจะถมปรับพื้นให้ราบเรียบแล้วก่อสร้างอาคารที่ด้านบน เราขึ้นไปแล้วจึงได้เห็นบันไดทางขึ้นหลักอยู่ทางทิศตะวันตก เป็นบันไดนาคตัดตรงขึ้นมาคล้ายกับบันไดสามทางของพระพุทธบาทสระบุรี มีร่องรอยของบันไดที่เรียงด้วยหินขนาบบันไดทางขึ้นที่ถูกปรับปรุงขึ้นใหม่ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเป็นเนินที่ยื่นออกไปจากเนินที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทมีอาคารที่สร้างขึ้นใหม่ตรงนั้นหลังหนึ่ง ทำให้คิดว่ามีลักษณะทำนองเดียวกันกับที่ตั้งของพระที่นั่งเย็นของพระพุทธบาทสระบุรี บนยอดเนินเขาเป็นที่ตั้งของพระมณฑปเก่าก่ออิฐถือปูน มีทางเข้าอยู่ที่ผนังด้านทิศตะวันตกและด้านตะวันออกข้างละสองช่อง ตัวพระมณฑปยกพื้นสูงประมาณ ๑ เมตร เป็นฐานบัวลูกแก้วอกไก่ไม่ตกท้องช้าง โครงสร้างเป็นระบบผนังรับน้ำหนัก เสาประดับแบ่งผนังออกเป็นด้านละสามห้องมีร่องสำหรับติดคันทวยแสดงว่ามีชายคาปีกนกยื่นออกมาคลุมรอบ ลานด้านนอกปูพื้นด้วยหินแกรนิตล้อมด้วยกำแพงแก้วก่ออิฐเตี้ยๆ เปิดช่องเป็นทางเข้ามาในพระลานสองด้านมีเสาหัวเม็ดประดับทางเข้า จึงควรเป็นอาคารที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาปลาย และเข้าใจได้ว่าพระพุทธบาทแห่งนี้เป็นการจำลองวัดพระพุทธบาทของสระบุรีมานั่นเอง

ด้านในพระมณฑปมีแท่นประดิษฐานรอยพระพุทธบาทซึ่งถูกปรับปรุงใหม่แล้ว ทางวัดต่อเติมหลังคาเอาไว้คุ้มแดดคุ้มฝน รอยพระพุทธบาทแกะสลักจากหินแกรนิต มีลายมงคลตามพระบาทลักษณะ พวกเราพบจารึกบนรอยพระพุทธบาทเป็นอักษรขอมแต่ไม่สามารถอ่านจับความได้เพราะลบเลือนไปมาก แต่มีการถอดข้อความที่จารึกบนรอยพระพุทธบาทแห่งนี้ไปแปล โดยพบข้อมูลในฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย เว็บไซต์ http://www.sac.or.th โดยมีข้อความเป็นคำสรรเสริญพระศรีอาริยเมตไตรย และอธิษฐานให้ได้พบพระองค์
ที่ขอบแผ่นหินรอบๆพระบาทมีรอยจารเป็นรูปเทวดายืนประนมมือแต่ก็ลบเลือนมากทีเดียว ลักษณะของลวดลายมงคลมีแบบแผนของลวดลายที่เก่าอยู่แต่ดูแล้วคล้ายจะเป็นการไปลอกแบบลวดลายพระบาทที่เก่าแก่กว่ามาสร้างใหม่ ร่วมสมัยเดียวกับพระมณฑปคือราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๓

พระมณฑปที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทแห่งไพศาลี

รอยพระพุทธบาทแห่งไพศาลี

พวกเราใช้เวลาพอสมควรในการซับน้ำมันที่ทางวัดเอามาทาไว้เพื่อให้สาธุชนสามารถปิดทองนมัสการ และนำเหรียญที่ถูกเอามาวางไว้เพื่อทำบุญออกไปชั่วคราว ซึ่งวิธีปิดทองและถวายสิ่งของบูชานี้เป็นวิธีดั้งเดิมที่ผู้คนนิยมกระทำเพื่อเป็นการนมัสการปูชนียสถาน – วัตถุสำคัญ หากแต่การกระทำสัมผัสโดยตรงก็จะส่งผลกระทบทำให้ทำลายเนื้องานศิลปะไปด้วย ดังนั้นจึงต้องมีการทำความเข้าใจระหว่างนักอนุรักษ์และผู้ศรัทธาให้เจอจุดที่เข้าใจกันได้ทั้งสองฝ่าย เพราะปูชนียสถาน – วัตถุจะดำรงความศักดิ์สิทธิ์อยู่ได้ก็เพราะการเป็นที่ยึดเหนี่ยวของผู้คน และเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คนผ่านประเพณีอันดีงามของคนในชุมชนนั้นๆเป็นสำคัญ ในขณะเดียวกันงานศิลปะก็ควรจะถูกรักษาไว้เพื่อแสดงถึงความรุ่งเรืองและเป็นที่เชิดหน้าชูตาให้กับท้องถิ่น รวมถึงเป็นงานศิลปะที่จรรโลงใจผู้มาเยี่ยมชมและนมัสการด้วย

ถัดจากเนินเขาที่ประดิษฐานพระพุทธบาทเป็นทางเชื่อมไปบนไหล่เขาลูกใหญ่ซึ่งเป็นที่ต้องของพระอุโบสถ แต่ไม่พบหลักฐานของอาคารเก่าบนเนินนี้แต่ก็อาจจะถูกสร้างทับหรือดัดแปลงไปหมดแล้ว ยังมีทางเดินต่อไปด้านบนซึ่งเป็นที่เขาจัดเอาไว้เป็นที่นั่งวิปัสนา โดยสร้างเป็นศาลาเล็กๆจำนวนมากมีระยะห่างกันแค่พอร้องเรียกกันได้ถนัด ด้านบนเขาเป็นมณฑปใหญ่ที่สร้างครอบรอยพระพุทธบาทที่ปรากฏบนหินธรรมชาติ ซึ่งจะเป็นรอยที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติแท้ๆหรือจะมีการแต่งเติมให้เป็นรอยพระพุทธบาทด้วยหรือไม่ก็ไม่อาจทราบทราบได้

รอยนิ้วพระบาทปรากฏลายดอกบัว


กอบัวในสระน้ำ น่าจะสื่อความหมายถึงสระสำคัญต่างๆ
รูปดอกไม้ที่ถูกกรองเป็นอุบะห้อยลงมาลักษณะเหมือนดอกบัวหรือดอกจำปา


เรือสำเภา มีเสากระโดงและมีเก๋งเรือด้านหลัง

เราออกมาจากวัดพระพุทธบาทและไปดูโบราณสถานในเขตเมืองเวสาลีหรือเมืองเก่าไพศาลี ซึ่งเป็นเมืองเก่าที่ตั้งอยู่บนลำน้ำสายเล็กๆที่เรียกกันในปัจจุบันว่าคลองสำโรงชัย ปัจจุบันตัวเมืองโบราณตั้งอยู่บริเวณชุมชนบ้านหนองไผ่ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของกลุ่มโบราณสถานแห่งนี้เล็กน้อย ยังสามารถเห็นร่องรอยของคูน้ำคันดินได้จากแผนที่ทางอากาศ มีลักษณะเป็นเมืองรูปวงรีแบบกลุ่มเมืองในวัฒนธรรมทวารวดี ตัวโบราณสถานที่เราพบควรเป็นกลุ่มโบราณสถานที่อยู่กลางทุ่งโล่งๆ แม้แดดจะร้อนแต่โบราณสถานแห่งนี้ก็แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ที่ผลัดใบ ต้นตะแบกออกดอกสีม่วง ต้นลีลาวดีก็ออกดอกเต็มต้นอยู่ท่ามกลางโบราณสถานนั้น ราวกับจะปลอบประโลมให้เราลืมเรื่องแดดที่ร้อนแรงไปชั่วคราว สันนิษฐานว่าโบราณสถานแห่งนี้เป็นวัดแห่งหนึ่งที่ร้างไปโดยไม่ได้รับการฟื้นฟูขึ้นอีก โดยอาจจะเคยเป็นวัดสำคัญประจำเมืองเวสาลีมาก่อน ทางทิศตะวันออกของกลุ่มโบราณสถานมีพระอุโบสถขนาดเล็กกะทัดรัด หันหน้าไปทางทิศตะวันออกและมีประตูทางเข้าสองช่องทางทิศนี้ ตัวอาคารเป็นอาคารแบบผนังรับน้ำหนัก มีเก็จเสาติดผนังแบ่งอาคารเป็นห้องสี่ห้อง ห้องหน้าและหลังแคบจึงสันนิษฐานว่าเป็นอาคารแบบมีมุขลดหน้า – หลัง ที่ผนังแปเป็นช่องย่อมุมไม้สิบสองข้างละสองช่อง เป็นช่องทะลุสำหรับให้แสงเข้าได้บ้างและระบายอากาศ เสมาเป็นหินชนวนปักเป็นกลุ่มๆกลุ่มละสอง - สามก้อนรายรอบพระอุโบสถ ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วที่ทำด้วยศิลาแลง ภายในพระอุโบสถมีชุกชีซึ่งถูกทำขึ้นใหม่ในสมัยปัจจุบัน

พวกเราเดินผ่านสระบัวเข้าไปยังกลุ่มโบราณสถาน ซึ่งเป็นเขตพระวิหารอันเป็นพุทธาวาสหลักของวัด ประกอบด้วยอาคารหลังสามชุดเรียงกันในแนวเหนือ – ใต้ คือเป็นพระวิหารในที่ตรงกลางหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีทางเข้าด้านหน้าและหลังที่กึ่งกลางผนังด้านละ ๑ ประตู อาคารมีขนาดห้าห้องโดยใช้โครงสร้างแบบเสารับน้ำหนัก ผนังวิหารเป็นแบบก่อประกอบเสาแต่พังทลายไปมากแล้ว แต่อาจจะเป็นผนังแบบช่องแสงตามที่นิยมสำหรับอาคารลักษณะนี้ น่าจะคล้ายคลึงกับอาคารที่วัดอินทรา ที่ลพบุรี ตัววิหารสร้างอยู่บนฐานที่ยกพื้นสูงขึ้นมาเล็กน้อยและมีกำแพงแก้วล้อมรอบ ถัดไปทางทิศใต้เป็นอาคารทรงมณฑปขนาดเล็กที่สร้างยกฐานสูงพอสมควร มีช่องเปิดอยู่ทางทิศใต้เพียงด้านเดียวโดยเรียงอิฐเป็นคูหาโดยการเหลื่อมทับก้อนอิฐกัน หลังคาก่ออิฐขึ้นไปเป็นทรงลาดแบบกระดองเต่าหรือหีบฝาหลังเจียด นับเป็นอาคารที่แปลกและอาจเป็นหอไตรหรือไม่ก็ไม่ทราบได้ ทางทิศเหนือเป็นกลุ่มเจดีย์สร้างเรียงกันอยู่อย่างน้อย ๒ องค์ และอาจจะมีอาคารหลังเล็กๆอีกด้วย เจดีย์องค์แรกเป็นเจดีย์ทรงปรางค์อยู่ที่มุมพุทธาวาสทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นทรงปรางค์ที่ดูสูงชะลูดคล้ายกับที่วัดบรมพุทธาราม ถัดมาเป็นเจดีย์ทรวดทรงแบบอยุธยาตอนกลาง คือมีระเบียนเขาสิงห์รุ่นเก่าที่มีบัวค่ำคลุมขาสิงห์ก่อนจะเป็นท้องไม้ เสียดายที่เจดีย์องค์นี้ถูกทุบทำลายไปมากแล้ว

อาคารทรงมณฑปขนาดย่อมภายในวัดโบราณในเมืองเก่าไพศาลี มีต้นลั่นทมออกดอกเป็นฉาก

กลุ่มอาคารที่เรียงตัวในแนวเหนือ - ใต้ ภาพนี้ถ่ายจาดทอศตะวันตกเฉียงใต้
ผนังพระอุโบสถเจาช่องแสงเป็นช่องแบบย่อมุมไม้สิบสอง

พวกเราเดินทางออกจากวัดในบริเวณเมืองเก่าเวสาลีมุ่งตรงไปยังเมืองนครสวรรค์ตอนเวลาประมาณบ่ายสามโมงครึ่ง ผ่านท่าตะโกและไปออกสู่ถนนสายเอเซียแถวๆค่ายจิระประวัติ ผ่านวัดจอมคีรีนาถบรรพตแล้วข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่สะพานเดชาติวงศ์แล้วเลี้ยวขวาเข้าไปย่านตลาดเก่าของเมืองนครสวรรค์

พระบาง คือชื่อเก่าของเมืองนครสวรรค์ เป็นชื่อเก่าที่พบหลักฐานกล่าวถึงหลายครั้ง ทั้งในศิลาจารึกและในพระราชพงศาวดาร ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๐ เมืองพระบางมีสถานะเป็นเมืองที่ปลายด่านแดนระหว่างอาณาจักรสุโขทัยและอยุธยา เพราะเป็นชุมทางแม่น้ำสายหลักที่สามารถใช้เดินทางไปยังเมืองต่างๆได้สะดวก ทำให้เมืองนี้ถูกใช้เป็นที่พักหรือจัดสรรขบวนสินค้าที่ขึ้นล่องไปขาย รวมถึงการจัดสรรกำลังพลในการทำสงความด้วย
พวกเรามาถึงตัวเมืองนครสวรรค์เวลาประมาณห้าโมงเย็น ตัวเมืองนครสวรรค์เต็มไปด้วยตึกแถวออกร้านกันคึกคัก ถนนในเมืองตัดกันเป็นแยกมากมายจนทำให้ดูสับสนพอสมควร แต่ในนี้ก็มีร้านอาหารอร่อยหลายร้านรวมถึงร้านขนมขึ้นชื่อด้วย พวกเราไปนัดเจอกันกับพี่ตั๊วที่วัดวรนาถบรรพตซึ่งอยู่บริเวณเชิงเขากบ

ตัวเมืองพระบางตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำปิงทางทิศตะวันตกบริเวณที่ราบแคบๆเชิงเขากบ  มีแม่น้ำน่านที่ไหลมาบรรจบกับแม่น้ำแม่น้ำปิงที่หน้าเมืองแล้วจึงไหลผ่านทางตัวเมืองทางทิศใต้ต่อไปเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา บนยอดเขากบเป็นที่ตั้งของวัดวรนาถบรรพตซึ่งในปัจจุบันแบ่งออกเป็นวัดที่อยู่บนเขาและบนพื้นราบ วัดที่อยู่บนพื้นราบมีพระเจดีย์เก่าเหลือยู่หนึ่งองค์แต่อยู่ในสภาพชำรุดเสียหายมาก่อนจะมีการบูรณะซ่อมแซม มีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงระฆังคล้ายคลึงกับที่พบในเมืองเก่าสุโขทัย หากในภาพถ่ายเก่าพบว่ามีร่องรอยการทำซุ้มจระนำเป็นทางเข้าไปในพระเจดีย์ทั้งสี่ด้าน รูปทรงของพระเจดีย์องค์นี้จึงอาจจะมีรูปทรงคล้ายกับเจดีย์วัดนางพญา เมืองศรีสัชนาลัย ก็เป็นได้

รองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม เขียนเกี่ยวกับเมืองพระบางเอาไว้ในหนังสือ เมืองโบราณในอาจักรสุโขทัย ว่า  ...ถึงแม้ตัวเมืองจะไม่มีขนาดใหญ่แต่ก็ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่เป็นชัยภูมิคือแม่น้ำปิงทำหน้าที่เป็นคูเมืองชั้นด้านตะวันตก ส่วนทางด้านเหนือมีเขากบตั้งขวางกั้นเป็นกำแพงด้านนอกในทำนองเดียวกันกับเมืองศรีสัชนาลัย เมื่อพิจารณารูปแบบทางศิลปกรรมและความสำคัญของโบราณสถานที่พบในเมืองพระบางแล้ว ก็อาจกล่าวได้ว่าเมืองพระบางได้รับการพัฒนาให้เป็นเมืองสำคัญในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไทอย่างไม่ต้องสงสัย...

ส่วนเขตวัดที่อยู่บนเขานั้นตั้งอยู่บนยอดเขาสูง นับเป็นยอดเขายอดแรกที่ทอดตัวเป็นกลุ่มอยู่ทางทิศเหนือของตัวเมือง ยอดเขาลูกนี้มีบันไดตัดตรงขึ้นไปจากด้านล่างและยังมีถนนให้รถยนต์สามารถขับขึ้นไปได้ด้วย ด้านบนไม่เหลือสิ่งก่อสร้างที่เป็นหลักฐานเชิงโบราณคดีให้เห็นชัดเจนอีกแล้ว หากแต่มีพระเจดีย์ที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นของเก่าอยู่องค์หนึ่ง มีวิหารประดิษฐานพระรอยพระพุทธบาทสำคัญที่ตรงตามจารึกนครชุมว่าสถาปนาขึ้นโดยพระยาลิไทย กษัตริย์พระองค์สำคัญของอาณาจักรสุโขทัย รอยพระพุทธบาทนี้มีลวดลายและแบบแผนคล้ายคลึงกับรอยพระพุทธบาทที่วัดตระพังทองและรอยพระพุทธบาทที่วัดท่าทอง จึงสามารถกำหนดอายุได้ว่าสร้างขึ้นในสมัยพระยาลิไทยจริงๆ จารึกเขากบ ซึ่งเป็นจากรึกหลักสำคัญกล่าวถึงสิ่งก่อสร้างหลายอย่างที่ถูกสร้างขึ้นไว้บนยอดเขานี้ อาทิเช่นพระเจดีย์ และการปลูกพระศรีมหาโพธิ์ และเขาลูกนี้ก็ถูกเรียกว่าสุมนกูฏเช่นเดียวกับภูเขาที่พระดิษฐานรอยพระพุทธบาททางทิศตะวันตกของเมืองสุโขทัย

ลวดลายสลักบนรอยพระพุทธบาทเป็นรูปภูเขาและต้นไม้ของวัดวรนาถบรรพต (ช่องด้านหน้าโคที่มุมล่างซ้ายมือ)
และภูเขาและต้นไม้ของรอยพระพุทธบาทแห่งไพศาลี (ภาพขวามือ)

ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของตัวเมืองบริเวณเขากบเป็นที่ตั้องของวัดจอมคีรีนาถบรรพตซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาเช่นเดียวกับเขากบ อาจารย์รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล ตั้งข้อสังเกตว่าเมืองพระบางในสมัยอยุธยาน่าจะมีการสร้างขึ้นอีกแห่งหนึ่งบริเวณด้านนี้ เพราะเป็นชัยภูมิที่เหมาะสมกับการรับศึกสงครามที่มาจากทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันตก ด้วยแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไหลมาจากทางหน้าเขากบผ่านมาทางทิศเหนือของวัดจอมคีรีฯก่อนจะเลี้ยวลงไปทางทิศใต้กลายเป็นปราการด้านทิศตะวันตกไปโดยปริยาย ผมมีโอกาสขึ้นไปที่วัดจอมคีรีฯเมื่อหลายปีก่อน ด้านบนมีวิหารโถงประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนั่งในซุ้มเรือนแก้วลักษณะเดียวกับพระประธานในวิหารวัดพิชัยปุณาราม และวัดไลย์ สันนิษฐานว่าควรสร้างขึ้นราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ด้านหลังพระพุทธรูปดังกล่าวยังพบรอยพระพุทธบาทองค์หนึ่งแต่ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่ามีอายุร่วมสมัยกันหรือไม่

พวกเราชมทิวทัศน์เมืองนครสวรรค์จากด้านบนนี้ขณะที่พระอาทิตย์กำลังอ่อนแสงลงเรื่อยๆ มองเห็นบึงบอระเพ็ดเป็นเวิ้งน้ำกว้างใหญ่ถัดจากแม่น้ำปิงและแม่น้ำน่านออกไปไกลจนสุดตา บึงแห่งนี้เคยมีสภาพเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่กว้างใหญ่กว่านี้ หากแต่การเติบโตของชุมชนและพื้นที่เกษตรกรรมที่แผ่ขยายเติบโตขึ้น ก็ต้องยอมรับว่ามีส่วนในการเบียดเบียนระบบนิเวศน์ของบึงน้ำแห่งนี้ หากไม่มีการควบคุมไม่ใช้ถนนหนทางไปจนถึงชุมและพื้นที่การเกษตร ไปขวางกั้นการถ่ายเทเข้าออกของน้ำในบึงก็จะยิ่งทำให้บึงน้ำแห่งนี้ค่อยๆเกิดความเปลี่ยนแปลงและเสื่อมสภาพลงไปในที่สุด

 รอยพระพุทธบาทบนยอดเขากบ ซึ่งในศิลาจารึกนครชุมเรียกว่า 
“พระบาทลักษณะ ณ ที่ปากยมพระบาง”


...................................

เช้าวันอาทิตย์ที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๑ พวกเรานัดเจอกันที่ล็อบบี้ตอนตีห้าตรงเพื่อเตรียมเดินทางขึ้นเขาหน่อแต่เช้าตรู่ ก่อนที่ฟ้าจะสว่างพวกเราผ่านเขาแก้วที่ปรากฏทะมึนอยู่เบื้องหน้าเรา ยอดเขายอดหนึ่งของเขาหน่อมีดวงไฟสีขาวสว่างเป็นจุดสังเกตเล็กๆให้เห็นว่านั่นคือจุดหมายของเราในวันนี้ ไปแวะทานกาแฟกันที่สลกบาตรแต่เกิดเหตุขัดข้องนิดหน่อยทำให้การเดินทางล่าช้า นั่นก็คือรถสตาร์ทไม่ติดเนื่องด้วยแบตเตอรี่รถยนต์ โชคดีที่มีคนแถวนั้นขับรถมาร้านสะดวกซื้อและขับกลับไปเอาสายพ่วงที่บ้านและมาช่วยเหลือเราได้ในเวลาไม่นานนัก เป็นสิ่งดีๆที่ทำให้เราได้พบเห็นน้ำใจของคนอื่นในเช้าวันนี้ เพื่อความปลอดภัยพวกเราจึงตัดสินใจขับรถไปเปลี่ยนแบตเตอรี้กันก่อนที่ตัวอำเภอสลกบาตร เมื่อจัดการกับเรื่องรถเสร็จสรรพพวกเราก็ย้อนกลับมาที่เขาหน่อ เขาแก้วกันตอนราวๆ ๗.๓๐ น.
ความงามของเขาหน่อและเขาแก้วที่ทอดตัวโดดเด่นอยู่ริมถนนสายนครสวรรค์ - ตาก สร้างความสนใจใคร่รู้ให้กับผู้คนที่เดินทางผ่านไปมายาวนาน เช่นเดียวกับคนสมัยโบราณที่ใช้แม่น้ำปิงในการเดินทางขึ้นล่องกันมานับพันปี ภูเขาสูงสองลูกนี้ทอดตัวยาวต่อกันดุจกำแพงที่ทะงันตระหง่าน พวกเราผ่านเข้าไปยังช่องที่แบ่งระหว่างเขาสองลูกนี้ออกจากกันเปรียบเสมือนประตูที่นำเราเข้าไปสู่อีกด้าน ทันทีที่ข้ามเข้ามาเราก็พบกับลิงจำนวนมากที่มาเล่นกันเกลื่อนกลาดถนน ทำให้เราต้องไปกันด้วยความระมัดระวังจนถึงวัดเขาหน่อที่ปลายเขาด้านทิศเหนือ ทางวัดจัดพื้นที่เป็นลานจอดรถที่มีกำแพงที่ปิดล้อมด้วยตาข่ายและแผ่นเหล็กต่อกันไปจนสูงเพื่อไม่ให้ลิงปีนเข้าไปได้ มีคุณอาท่านหนึ่งเป็นอาสานำทางพวกเราขึ้นไปบนภูเขา ซึ่งมีความสูงเหนือพื้นดินขึ้นไปราว ๒๘๐ เมตร จากตรงนี้เราเห็นยอดเขาที่สูงที่มีสันฐานคล้ายกับอาคารทรงศิขระของอินเดียที่บนนั้นผมเห็นมีแถวระฆังแขวนอยู่ลิบๆ และมันจะเป็นจุดหมายของการเดินขึ้นไปของเรานั่นเอง

ทางขึ้นเขาอยู่ด้านหลังโรงเรียนเก่าซึ่งต้องเลิกไปเพราะลิงที่มีจำนวนมากจนมารบกวนการเรียนการสอน ลานด้านหน้าทางขึ้นเกลื่อนไปด้วยแตงโมที่ถูกนำมาเลี้ยงลิงผู้หิวโหย ทางเดินคอนกรีตพาเราเลาะไปทางทิศใต้ในช่วงเริ่มต้นสั้นๆก่อนจะเห็นบันไดทอดยาวตรงดิ่งขึ้นไปด้านบนกว่า ๖๐๐ ขั้นโดยมียอดภูผาหินตระหง่านอยู่เป็นฉากหลัง ทางขึ้นที่เป็นบันไดคอนกรีตมีราวทำด้วยเหล็กให้เรายึดประคองขึ้นไปตลอดทาง มีที่นั่งพักเป็นระยะท่ามกลางแสดงแดดอ่อนๆ ฟ้าสีสันสดใสเรามองเห็นทิวทัศน์เบื้องล่างผ่านแมกไม้ที่อวดกิ่งก้านสวยงาม มีดอกงิ้วและดอกไม้อื่นๆประดับประดาภูเขาให้เราได้ชื่นชมไปเป็นระยะ พวกเราพยายามเดินตามกันขึ้นไปช้าๆแบบไม่เร่งรีบและในที่สุดก็ขึ้นมาถึงชั้นที่จะต้องไต่บันไดเหล็ก บันไดเหล็กนั้นค่อนข้างดีเพราะทำแผ่นสำหรับกันลื่นเอาไว้ให้ด้วย และมีราวให้จับไปตลอดทำให้การไต่ขึ้นไปของเราไปเป็นด้วยความมั่นใจขึ้น ในจังหวะที่ปีนนั้นทำให้ผมนึกถึงจิตรกรรมและภาพปูนปั้นเรื่องพระพุทธบาทบนยอดสุมนกูฏขึ้นมาอย่างจับใจ มองเห็นภาพของแรงศรัทธาของผู้คนที่จะขึ้นไปสักการะพุทธเจดีย์สถานเพื่อประโลมจิตใจ เพื่อฟื้นฟูศรัทธา เพื่อบุญกุศลเจตนา

บันไดเหล็กมีจุดหักเหและทำให้เราพักเป็นช่วงๆ และในที่สุดผมก็ผ่านช่วงที่ดูโหดที่สุดและอันตรายที่สุดมาได้ ผมแวะเข้าไปดูถ้ำทะลุที่สามารถใช้เป็นที่พักหลบฝนได้สำหรับคนที่ขึ้นมาแล้วเจอสถาพอากาศที่ไม่ดี แต่นึกๆไปหากเจอฝนบันไดเหล็กคงลื่นและเสี่ยงอันตรายมากกว่านี้ บนยอดหินผาเหนือถ้ำนี้เป็นจุดถ่ายรูปที่งดงามเพราะมองเห็นเขาแก้วทอดตัวยาวออกไปทางทิศใต้ กลุ่มสาวๆที่ขึ้นมาพร้อมกันด้วยความเหนื่อยอ่อนนั้น ต่างสลัดความเหนื่อยอ่อนและตื่นตาตื่นใจกับวิวทิวทัศน์ที่เห็นบนนี้ ผมเดินผ่านจุดนี้ขึ้นไปบนยอดบนสุด พลันก็ได้พบกับมณฑปก่ออิฐถือปูนขนาดย่อมตั้งอยู่บนลานทางทิศใต้ พี่เอฟและพี่ตั๊วพูดคุยกันด้วยความตื่นเต้นถึงความชัดเจนของหลักฐานชิ้นนี้ ที่นี่มีพี่ชายสองคนขึ้นมาทำงานถอดพิมพ์รอยพระพุทธบาทเพื่อนำไปประดิษฐานที่วัดในชายแดนภาคใต้ ต่างก็เข้ามาพูดคุยและขอคำอธิบายจากอาจารย์ทั้งสอง พี่ที่ขึ้นมาทำงานนั้นได้อาศัยกินนอนอยู่บนยอดเขานี้มากว่าสองวันแล้ว ซึ่งเป็นที่น่านับถือในความอุตสาหะด้วยอย่างหนึ่ง

จากพื้นที่ลานด้านล่างจะเห็นยอกเขาคือยอดที่สูงที่สุดตรงกึ่งกลางภาพนั้น

ยอดเขาหน่อ ที่ตั้งของสักการะสถานอันศักดิ์สิทธิ์

ภาพจากระหว่างทางเดินมองลงไปยังวัดเขาหน่อที่เราเดินจากมา
พี่จิ๊บถ่ายภาพให้ตอนไต่บันไดเหล็กตามขึ้นไปด้านบน


ผมสังเกตดูยอดเขาด้านบนนี้ซึ่งมีอาณาบริเวณเป็นลานที่ถูกปรับขึ้นด้วยการล้อมเขื่อนด้วยก้อนหินผาเฉกเช่นเดียวกับที่วัดพระพุทธบาทของเมืองเวสาลี หรือแม้กระทั่งวัดบนเขาใหญ่ที่เมืองศรีสัชชนาลัย มื่อปรับพื้นดินเป็นลานขนาดประมาณ ๕ – ๖ เมตรในแนวเหนือ – ใต้ และประมาณ ๔ เมตร ในแนวตะวันออก – ตะวันตก แล้วก็ทำการก่อสร้างงานสถาปัตยกรรมต่างๆ บนยอดสุดนี้มีพระเจดีย์องค์หนึ่งเป็นประธานทางทิศตะวันออกก่อศิลาแลงเป็นช่องซุ้มจระนำ ด้านในเห็นแกนเป็นก้อนหินซึ่งควรจะเป็นยอดสูงสุดของเขาลูกนี้ เสียดายที่เจดีย์นี้ถูกทำลายลงย่อยยับแต่ก็พอจะจับได้ว่ามีฐานเป็นทรงแปดเหลี่ยมก่อด้วยศิลาแลงล้อมแท่งหินผา พบเศษภาชนะเล็กน้อยเป็นเศษลายเครื่องเคลือบเบญจรงค์ชิ้นหนึ่งเป็นเครื่องถ้วยจีน(หมิงสี) อีกชิ้นหนึ่งเป็นเครื่องเบญจรงค์ต้นรัตนโกสินทร์

ต่อเนื่องกับพระเจดีย์ไปทางทิศใต้เป็นพระมณฑปขนาดย่อมประดิษฐานรอยพระพุทธบาทที่แกะสลักจากหินชนวน ลักษณะเป็นพระมณฑปก่ออิฐถือปูนในผังสี่เหลี่ยมผืนผ้าตามความยาวของรอยพระพุทธบาท มีช่องกุฏิให้แทรกตัวเข้าไปนมัสการรอยพระพุทธบาทได้สามด้าน เว้นทางด้านทิศเหนือที่ติดกับพระเจดีย์ที่ทำเป็นช่องทะลุแบบย่อมุมไม้สิบสองให้แสงผ่านเข้ามา เป็นการก่อช่องเปิดแบบเหลือมอิฐซ้อนทับกัน ด้านในมองเห็นฝ้าเพดานทำด้วยไม้พาดรับน้ำหนักโครงของเครื่องก่อที่เป็ยยอดมีไส้เป็นศิลาแลง ยอดของอาคารนั้นก่อเป็นชั้นลดประดับด้วยบันแถลงและกลีบขนุน เป็นการประยุกต์หลังคามณฑปแบบหลังคาลาดเป็นชั้นลดที่เอาเครื่องของพระปรางค์มาใช้ ด้านบนเป็นปลียอดดอกบัวตูม ลายปูนปั้นนั้นเป็นการปั้นโดยสังเขปไม่ประณีตมากคงเป็นเพราะข้อจำกัดของที่ตั้งที่อยู่สูงมากเกินกว่าที่จะทำงานได้สบายนัก ที่ช่องกุฏิทางทิศใต้หลงเหลือลายปูนปั้นประดับเป็นลายกระหนกเลข ๑ ไทยมีครีบประดับ และลายดอกไม้สี่กลีบสองดอกขนาบที่ด้านข้างช่องเปิดนี้ ช่องเปิดด้านทิศใต้อยู่ที่สุดแนวเขื่อนที่ปรับยอดเขานี้ขึ้นเป็นลาน ทำให้มองเห็นรอยพระพุทธบาทจากส้นพระบาทขึ้นไปยังนิ้วพระบาท ที่ส้นนี้มีการแกะสลักให้เหลื่อมกันทำนองว่าเป็นพระพุทธบาทสี่รอยของพระพุทธเจ้าที่อุบัติขึ้นแล้วในภัทรกัลป์

กราบนมัสการพระบาทลักษณะ

ลวดลายบนรอยพระพุทธบาท อาจารย์รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล สันนิษฐานว่าน่าจะอยู่ในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๑ เทียบกับรอยพระพุทธบาทที่วัดเชิงคีรีที่มีจารึกระบุปีพุทธศักราช ๒๐๕๓ สอดคล้องกับงานสถาปัตยกรรมที่มีรูปแบบที่สร้างขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน

คุณอาที่นำทางพวกเราขึ้นมาเอาพวงมาลัยดอกไม้ที่เขาช่วยผมถือมาให้ เป็นพวงมาลัยที่ผมเรียกซื้อตอนติดไฟแดงในเมืองนครสวรรค์เมื่อตอนเช้ามืด เขาพาผมไปจุดธูปบูชารอยพระพุทธบาทซึ่งมีบทบาลีพร้อมคำแปลบนป้ายไว้ให้สวดตาม ผมนมัสการพระบาทแล้วก็ถ่ายรูปบริเวณรอบๆอย่างสนุกสนาน พี่ที่ขึ้นไปทำงานก่อนหน้าก็มาช่วยจัดสถานที่ให้อย่างเต็มจนผมรู้สึกผิดที่ก่อนลงมาลืมกลับไปช่วยเขาเก็บของกลับ ทั้งยังแบ่งแตงโมให้พวกผมรับประทาน ที่บนนี้มีดอกลั่นทมชูช่อออกดอกเบ่งบานเป็นพุทธบูชา ดอกงิ้วบนยอดเขาถัดไปออกดอกสีแดงเพลิงเบ่งบาน ถนนด้านล่างมีต้นราชพฤกษ์ กัลปพฤกษ์ เหลืองปรีดียาธร ออกดอกเต็มต้นอยู่ไกลๆ ที่นาบางผืนแห้งเป็นสีเหลืองสลับกับเขียวไล่สีสันกันไปสลับกับทิวไม้ดูสวยงามรายล้อมเรา ลมเย็นที่พักโชยอยู่ตลอดพัดพาความร้อนแรงของแสงแดดให้ทุเลาลงไปมาก

ยอดเขานี้ทำหน้าที่เป็นแลนด์มาร์คสำคัญให้กับนักเดินทางในสมัยโบราณและยังคงเป็นที่สะดุดตาให้กับคนที่เดินทางผ่านไปมาในปัจจุบัน ซึ่งในอดีตก็อาจจะมีการกัลปนาผู้คนให้ดูแลตามไฟในคืนเพ็ญหรือทุกๆคืนก็เป็นได้  พระเจดีย์และมณฑปครอบรอยพระพุทธบาทบนยอดเขาก็เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และมีหน้าที่เป็นจุดหมายตาที่มีความหมายต่อใจให้กับนักเดินทาง

จากหนังสือ เมืองโบราณในอาณาจักรสุโขทัย ของรศ. ศรีศักร วัลลิโภดม กล่าวถึงเขาหน่อเอาไว้ว่า ...วัดเขาหน่อ อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ เป็นบริเวณที่มีโคกเนินและวัดเก่าอยู่ทางด้านตะวันออกของภูเขา แสดงให้เห็นว่าเคยเป็นแหล่งชุมชนโบราณ แต่ไม่มีแนวคูน้ำคันดินล้อมรอบ พบซากฐานวิหารและสถูปที่ก่อด้วยศิลาแลง พบพระพุทธรูปที่ทำโกลนด้วยศิลาแลงแล้วพอกปูน ลักษณะเป็นแบบพระพุทธรูปที่พบในเขตเมืองกำแพงเพชร ตามพื้นพบเศษภาชนะดินเผาแบบธรรมดา แบบเผาแกร่ง และแบบเคลือบของสุโขทัยและจีนสมัยราชวงศ์เหม็ง บนยอดเขาหน่อมีรอยพระพุทธบาทและบริเวณรอบๆเขาหน่อนี้ เคยมีผู้พบพระสถูปสมัยทวารวดีและพระพิมพ์..

พวกเราทยอยลงจากภูเขาตอนเวลา ๙.๓๐ น . แดดก็ร้อนขึ้นโดยลำดับ ราวเหล็กตอนขาลงเริ่มร้อนเพราะดูดความร้อนจากแสงแดดที่แผดแรงขึ้นมา ขาลงของพวกเราค่อนข้างลำบากเพราะบันไดที่ทอดดิ่งลงด้านล่างกว่า ๖๐๐ ขั้น สร้างความร้าวระบมให้กับขาที่รับน้ำหนักต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ดีพวกเราต่างก็กลับลงมาโดยสวัสดิภาพ คุณจอมที่เป็นคนกลัวความสูงก็ยังรู้สึกสุขใจกับการได้ขึ้นไปนมัสการพระบาทบนยอดเขานั้นในครั้งนี้

คุณอาพาเราไปดูถ้ำพระนอนซึ่งอยู่บนเขาลูกย่อมๆหลังวัด ถ้ำพระนอนนี้เป็นที่พบพระพุทธรูปปางไสยาสน์แกะสลักด้วยไม้ที่ปัจจุบันถูกนำไปเก็บรักษาเอาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ภายในถ้ำมีพระนอนขนาดใหญ่คาดว่าคงเป็นพระพุทธรูปโบราณแต่ถูกปรับแต่งซ่อมแซมแล้ว ด้านหลังพระนอนเป็นโพรงถ้ำเข้าไปอีกแต่มืดมาก ข้างๆพระนอนมีพระพุทธรูปโบราณอีกหลายองค์แต่ก็ถูกซ่อมแซมแล้ว มีพระพุทธรูปยืนที่ถูกซ่อมแต่งด้วยศิลปะอยุธยาตอนปลาย มีพระพุทธรูปนั่งแกะด้วยหินทรายศิลปะอยุธยาตอนกลาง มีเศียรพระพุทธรูปสมัยอยุธยาตอนปลายถูกนำมาต่อไว้กับพระยืนองค์หนึ่ง พี่ตั๊วร้องเรียกให้ผมไปดูผนังอิญเก่าแผ่นหนึ่งมีลวดลายปูนปั้นชำรุดตั้งอยู่ริมปากถ้ำทางทิศเหนือ ผมปีนป่ายเข้าไปดูก็พบว่าเป็นผนังอาคารที่ก่อประกอบกับตัวถ้ำ บริเวณผนังดังกล่าวเป็นแผ่นหินใหญ่ซึ่งอาจเป็นสักการะสถานอีกแห่งหนึ่งมาก่อนเพราะมีการปั้นกลีบดอกบัวเป็นงานใหม่ล้อมแผ่นหินธรรมชาตินี้เอาไว้ด้วย ลวดลายปูนปั้นที่เหลืออยู่นั้นมีลายเฟื่ง ด้านหน้าเป็นรูปบุคคลยืนท่าหยั่งในมือถือดอกบัว ศีรษระถูกสกัดทำลายหายไป ทำให้สันนิษฐานได้ว่าวัดนี้เป็นวัดเก่าแก่และเป็นสักการะสถานสำคัญมาตั้งแต่โบราณ และน่าจะมีการกัลปนาข้าทาสไว้ดูแลวัดและรอยพระพุทธบาทที่บนยอดเขานั้นด้วย

ภาพพระมณฑปน้อยบนยอดเขาหน่อ เป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท
ถ่ายจากทางทิศใต้ ถัดไปทางด้านหลังจะเป็นพระเจดีย์ที่ถูกทำลายไปแล้ว

รอยพระพุทธบาทแกะสลักด้วยหินชนวน

จักรที่กลางพระบาท มุมซ้ายมือมีรูปพระจันทร์ ไล่มาทางด้านขวาเป็นตุง อาคารทรงต่างๆ ช้าง และสระทั้งหลาย
แถวถัดมาเป็นพระอาทิตย์ (ไม่ปรากฏนกยูง) บัลลังก์ นาค ไล่ลงมามีจระเข้ พญาครุฑ เป็นต้น

ที่ส้นพระบาทปรากฏรอยพระบาทที่กดทับลงไปซ้อนกัน
แสดงถึงการอุบัติขึ้นแล้วของพระพุทธเจ้าทั้งสี่องค์ในภัทรกัลป์
ภาพพระมณฑปน้อยจากบริเวณด้านหน้าของพระเจดีย์


อาคารพระมณฑปจากด้านทิศตะวันออก

คณะผู้มีศรัทธา

คุณอาที่เป็นคนนำทางยังบอกอีกว่าบนยอดเขาเหนือถ้ำแห่งนี้มีฐานเจดีย์เก่า แต่อย่างไรก็ดีสภาพอากาศและเหนื่อยล้าพวกเราในตอนนี้ไม่พร้อมจะเดินขึ้นไปดูอีกแล้ว จึงพากันกลับออกมาหลังจากขอบคุณคุณอาที่นำทางและทำบุญกับทางวัดเรียบร้อย

ในอนาคตทางวัดจะมีการปรับปรุงลานบนยอดเขาหน่อใหม่เพื่อให้สะดวกกับคนที่ขึ้นไปไหว้รอยพระพุทธบาท โดยมีโครงการจะปรับปรุงพื้นลานและทำรั้วกันตก ผมก็ได้แต่หวังในใจว่าการปรับปรุงครั้งนี้จะไม่กระทบกับภูมิทัศน์ที่สวยงาม และทำได้อย่างเรียบง่ายสวยงาม แต่ที่น่าเป็นห่วงคือตัวพระมณฑปที่ทรุดโทรมลงทุกวัน ถึงแม้รอยพระพุทธบาทจะปลอดภัยจากการขึ้นไปแตะต้องให้บอบช้ำมานานปี แม้พระมณฑปจะคุ้มกันลมฝนให้พระพุทธบาทไม่สึกกร่อนไป แต่วันหนึ่งหากพระมณฑปถล่มลงมาทับก็จะสร้างความเสียหายใหญ่ได้ ตลอดทางที่เดินไปผมเห็นคนมือบอนเขียนข้อความฝากเอาไว้ตามราวบันได ก้อนหิน ต้นไม้ และที่น่าเสียใจคือการไปขีดเขียนในพระมณฑปซึ่งคงจะต้องมุดเข้าไปเหยียบบนรอยพระพุทธบาทด้วย ย้อนกลับไปนึกถึงรอยพระพุทธบาทบนเขากบก็น่าสังเวชใจ ที่เสียหายจากรอยขีดข่วนเขียนเป็นข้อความของคนที่ไม่รู้คุณค่าอย่างสนุกมือ

ผมฝันว่าเมืองไทยจะมีปูชนียสถานเก่าแก่ที่ภูมิฐานและดูเรียบง่าย ที่แม้จะมีการซ่อมแซมหรือปรับปรุงให้ใช้งานได้อยู่เสมอก็จะทำโดยที่คงความงามอย่างเดิมและกลมกลืนกับภูมิทัศน์ดั้งเดิมเอาไว้ รวมถึงกีดกันวัตถุแปลกปลอมออกไปอย่างแนบเนียน เพราะนั่นคือจุดเด่นที่ทรนงองอาจในจุดยืนที่แสดงความเป็นตัวเอง และในขณะเดียวกันก็จะเติบโตต่อไปกับกระแสโลกใหม่ๆด้วยความกลมกลืน

แสงแดดร้อนแรงในฤดูร้อนของเมืองไทยสร้างความเหนื่อยอ่อนให้กับนักเดินทางอย่างสาหัส แต่ขณะเดียวกันสีสันในหน้าร้อนที่เกิดจากหมู่ไม้ดอกที่ประชันกันออกดอกอวดสีสันตัดกับท้องฟ้าสดใจ ก็ดูไม่ต่างกับการกินอาหารอาหารเผ็ดร้อนที่เลิศรส หรืออันตรายของภูผาที่สูงชันที่เราต้องผ่านขึ้นไปเพื่อไปชมความงามของความสำเร็จครั่งหนึ่งในชีวิต