วันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๕ ผมกับนางแบบมือสมัครเล่นออกจากกรุงเทพมหานครฯ ด้วยรถทัวร์ของบริษัทสมบัติทัวร์เที่ยวเวลา ๑๙.๐๐ น. เพื่อไปยังชายแดนประเทศไทยที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
................................................................
................................................................
วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๕ ผมลงรถที่สถานีขนส่งแม่สาย
ตอนเวลาประมาณ ๐๕.๔๕ น. ท้องฟ้ายังมืดอยู่และอากาศก็ค่อนข้างหนาวเย็น
เราใช้เวลาจัดเตรียมสัมภาระและล้างหน้าแปรงฟันกันในสถานีขนส่งอยู่ประมาณ ๓๐ นาที เมื่อพร้อมแล้วเราก็เรียกวินมอเตอร์ไซค์คนละคัน
ให้ไปส่งที่ที่ว่าการอำเภอแม่สายเพื่อขอหนังสือผ่านแดนชั่วคราว ที่นั่นเราแค่ยื่นบัตรประชาชนกับเงินอีก ๓๐ บาท ใช้เวลาไม่ถึง ๑๐ นาที เราก็พร้อมสำหรับการขอผ่านแดนออกจากประเทศไทย
เรามาถึงจุดผ่านแดนโดยรถโดยสารประจำทางในราคาคนละ ๑๕ บาท แวะซื้อของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ และนั่งกินไก่ทอดหาดใหญ่ที่ซื้อจากรถเข็นข้างทางเป็นอาหารเช้า เสร็จแล้วก็เดินไปยังจุดผ่านแดนทางฝั่งไทย แค่ยื่นหนังสือผ่านแดนชั่วคราวเพื่อขอประทับตรา แล้วเราก็เก็บมันไว้ให้ดีรอยื่นตอนขากลับ เพียงเท่านี้ก็เสร็จขั้นตอนการขอผ่านแดนจากฝั่งไทย ผมเดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำแล้วเปลี่ยนช่องทางเดินไปชิดขวา เข้าสู่ด่านท่าขี้เหล็กประเทศพม่า ถึงที่นั่นพอบอกว่าเราจะไปเชียงตุง เจ้าหน้าที่ก็ชี้ให้ไปยังห้องทัวลิสต์อินฟอร์เมชั่น ห้องทัวร์ลิสต์อินฟอร์เมชั่นเป็นห้องแคบ ๆ มีเจ้าหน้าที่หญิงอยู่หนึ่งคนกับไกด์ผู้หญิงที่กำลังหม่ำข้าวอีกหนึ่งคน เจ้าหน้าที่พูดไทยไม่ค่อยได้แต่เราได้พี่ไกด์ท่าทางใจดีช่วยแปล ตกลงกันว่าเราต้องจ้างไกด์ไปเชียงตุง - เมืองลา วันละ ๑,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นไปตามกฏหมายของรัฐบาลทหารพม่าที่ควบคุมอยู่ และเสียเงินค่าผ่านแดนคนละ ๕๐๐ บาทกับรูปถ่ายสามใบ แต่ถ้าจ่ายด้วยเงินดอลลาร์จะเหลือแค่ราคา ๑๐ ดอลลาร์ กับอีก ๗๐ บาท ระหว่างที่เจ้าหน้าที่โทรเรียกไกด์พวกผมจึงถือโอกาสถามข้อมูลการเดินทางจากไกด์ที่อยู่กับเราตรงนั้น ที่จริงเราอยากจะจ้างพี่สาวชาวไทใหญ่คนนี้เป็นไกด์อยู่เหมือนกัน แต่พี่เขามีลูกทัวร์รออยู่แล้วและกำลังเตรียมตัวจะออกไปพบลูกทัวร์ให้ทันเวลา ระหว่างนั้นก็มีคนไทยสองคนจะเดินทางไปเชียงตุงเช่นกันเดินเข้ามา เราเลยได้พูดคุยกันคร่าว ๆ เกี่ยวกับการเดินทาง เขาเลือกที่จะจ้างแทคซี่จากที่นี่ไปเชียงตุงเลย ซึ่งต้องจ่ายถึง ๓,๐๐๐ บาท แต่ผมอยากจะปรึกษาไกด์ก่อนเพราะนั่นดูจะโหดร้ายกับเราเกินไป ไกด์ของเรามาถึงหลังจากนั้นไม่นาน เธอเป็นไกด์สาวอายุ ๒๓ ปี ชื่อจั๋นนวน หรือจันทร์นวล ในสำเนียงบ้านเรา
เราไปนั่งคุยกับไกด์ที่ร้านอาหารร้านหนึ่งไม่ไกลจากจุดผ่านแดน
ไกด์ของเราแนะนำว่าให้เราขึ้นรถทัวร์ไปก็ได้ คนต่างชาติคนละ ๔๐๐ บาท ส่วนคนที่นี่คนละ ๒๐๐ บาท ซึ่งเราต้องจ่ายค่ารถให้ไกด์ด้วย นอกเหนือไปจากค่าจ้างวันละหนึ่งพันบาทและค่าที่พักในแต่ละวัน
ไกด์ของเราเป็นชาวไทใหญ่ พูดไทยสำเนียงชัดเจนแต่รูปประโยคกับคำบางคำอาจจะทำให้การสื่อสารคลาดเคลื่อนไปได้นิดหน่อย
เธอบอกให้เราเรียกชื่อเล่นว่า “เมย์” เมื่อตกลงกันพอเข้าใจ ผมจึงจ่ายเงินให้เธอ ๔,๐๐๐ บาท ตามแผนการเดินทางแผนแรกที่วางไว้คร่าว ๆ ว่าจะอยู่เที่ยวที่นี่ ๔ วัน
รวมวันนี้ด้วย
น้องเมย์เดินไปเรียกรถสามล้อรับจ้างให้เรา
เมื่อรถมาถึงผมก็ตะหงิด ๆ ใจอยู่ว่าต้องจ่ายเท่าไหร่ เพราะไม่ได้ตกลงราคากันก่อน
ปรากฏว่าพอมาถึงท่ารถทัวร์ซึ่งอยู่ห่างจากจุดผ่านแดนมาประมาณ ๒ - ๓ กิโลเมตร
ผมต้องจ่ายถึง ๒๐๐ บาท
รถทัวร์ที่นี่มีการจัดการค่อนข้างดี เมื่อจ่ายเงินให้น้องเมย์แล้วน้องก็ไปจัดการเรื่องตั๋วและที่นั่งให้เรา ไม่นานเราก็ได้ขึ้นรถตอน ๑๐.๓๐ น. ตรงตามตารางเดินรถพอดี คนรถจัดการติดแท็คไว้กับสัมภาระของเราด้วย
ก่อนจะยัดเข้าไปในช่องเก็บสัมภาระใต้ท้องรถพร้อมกับข้าวของของชาวบ้าน รถทัวร์ก็สภาพดีใช้ได้ เดิมคงจะเป็นรถประจำทางที่ใช้ในประเทศญี่ปุ่น
เพราะที่ข้างรถมีตัวคะตะคานะกับภาษาอังกฤษเขียนไว้ว่า อิวามิทัวร์
ตั้งแต่ข้ามแดนมาที่นี่ผมยังไม่ค่อยรู้สึกถึงอะไรที่แตกต่างไปจากบ้านเรานัก นอกจากรถที่วิ่งช่องทางขวากับฝุ่นที่ฟุ้งสักหน่อย และก็ป้ายตามร้านค้าข้างทางที่เขียนเป็นภาษาพม่า ก่อนออกจากท่าขี้เหล็กเราย้ายที่นั่งจากเบาะช่วงท้ายมานั่งช่วงกลางของตัวรถ
ผ่านด่านตรวจแห่งหนึ่งแต่เราไม่ต้องทำอะไร เพราะน้องเมย์แจ้งคนรถไว้แล้วว่ามี
“ทัวริสต์” มาด้วยสองคน ตลอดทางจึงไม่มีใครมาวุ่นวายอะไรกับเราเลย
เมื่อผ่านด่านตรวจที่ท่าขี้เหล็กมาแล้ว
ผมก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความแตกต่างไปจากสภาพบ้านเมืองที่คุ้นเคย เช่น บ้านเรือนที่ฝาทำด้วยไม้ไผ่สาน
และหลังคามุงด้วยหญ้าคา
ซึ่งยังพอมีให้เห็นสลับกับบ้านเรือนใหม่ ๆ ที่ปลูกอย่างบ้านปูนในเมืองไทย วัดก็ดูแปลกตาอยู่บ้างอย่างอาคารหลักของวัดซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเป็นโบสถ์หรือวิหารนั้นจะมุงกระเบื้องลอนสีแดง
ดูเป็นของใหม่ที่สร้างขึ้นง่ายๆ เหมือนบ้านคอนกรีตของคนทั่วไป แต่ที่กลางสันหลังคานิยมติดยอดแหลม ลักษณะคล้ายฉัตรหรือยอดปราสาทแบบพม่า
ซึ่งบุด้วยโลหะสีเงินฉลุเป็นลาย สภาพภูมิประเทศข้างทางเป็นที่ราบเชิงเขาใช้ทำนา หมู่บ้านอยู่เกาะกลุ่มกันเป็นช่วง ๆ ตามเส้นทางที่เราผ่าน
ผมนั่งดูวิวข้างทางต่อไปไม่นานนักก็งีบหลับไปจนตื่นมาแถวท่าลี่
ที่รู้ได้ก็เพราะน้องเมย์ที่นั่งอยู่เบาะหน้าหันมาบอกผมว่า เมืองนี้เคยเกิดแผ่นดินไหวสร้างความเสียหายยับเยิน
บ้านเรือนที่เห็นก็เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ ผมหลับ ๆ ตื่น ๆ ต่อไประหว่างที่บนรถเปิดเพลงเกือบร่วมสมัยเป็นภาษาไทยใหญ่สลับกับเพลงภาษาพม่า
ผมเริ่มสังเกตได้ว่าภาษาไทใหญ่นั้นมีหลายคำเหมือนภาษาไทย
ผมมาตื่นจริง ๆ เอาอีกทีก็ตอนที่น้องเมย์ชี้ให้ดูถนนดินลูกรังเป็นทางแยกไปเมืองยอง
ผมเคยเปรยว่าอยากไปแต่เสียดายที่สำหรับคนนอกรัฐบาลเขายังไม่อนุญาต
หลังจากนั้นก็เข้าสู่เมืองพยากและจอดแวะที่นี่เพื่อพักรถ
เมืองพยากมีแม่น้ำสายหนึ่งไหลผ่านชื่ออะไรผมก็ลืมถาม เมื่อข้ามแม่น้ำมาก็จะเห็นบ้านเรือนที่ปลูกเรียงไปตามสองข้างทาง มองผ่านบ้านเรือนออกไป ด้านซ้ายมือจะเป็นที่ราบสำหรับทำนา ขวามือก็เป็นเนินเขา สภาพเช่นนี้ทำให้ผมนึกถึงอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นเมืองมีที่ราบแคบ ๆ ระหว่างหุบเขาและมีลำน้ำไหลผ่าน ผมสังเกตเห็นว่าชาวบ้านจะเว้นที่ราบริมน้ำเช่นนี้ไว้สำหรับเพาะปลูก ส่วนหมู่บ้านนั้นจะตั้งอยู่ตามเนินเขา เข้าใจว่าเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาอุทกภัยด้วยอย่างหนึ่ง จุดแวะพักรถเมืองพยากจะมีบ่อน้ำเป็นวงปูนสูงขึ้นมาประมาณเมตรกว่า ๆ ตั้งอยู่กลางลาน น้ำในบ่อจะถูกใช้เติมหม้อน้ำรถยนต์ หรือราดเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ น้องเมย์บอกว่าคนที่นี่ก็ใช้รถมอเตอร์ไซค์วิ่งไปกลับระหว่างเชียงตุงถึงท่าขี้เหล็กด้วย บริเวณจุดพักรถมีร้านค้าขายอาหารและเครื่องดื่ม ด้านหลังมีห้องน้ำ ผมสังเกตเห็นท่อพีวีซีส่งน้ำลงมาจากบนเขาแบบไม่ต้องมีก๊อกปิด น้ำไหลออกจากท่อแรงดีใช้ได้ทีเดียว ผมลงมาถามน้องเมย์ได้ความว่าที่นี่ไม่มีน้ำประปา น้ำที่เห็นจะทดแล้วต่อท่อส่งลงมาจากบนดอย พวกเรากินก๋วยเตี๋ยวที่เส้นคล้ายๆเส้นผัดไท ราคา ๒๕ บาทต่อชาม เรียกว่าคงได้กำไรมากเพราะมีแค่เส้นกับผักและก็เศษไก่นิดหน่อย
รถออกจากเมืองพยากไปตามถนนที่ตัดลัดเลาะไปตามไหล่เขา
ขนาบไปกับลำน้ำสายหนึ่งที่ไหลลงไปทางเมืองพยาก
ทำให้เราได้พบเห็นสภาพทิวทัศน์ที่สวยงาม แต่เสียดายฝั่งที่เห็นวิวนี้แดดยามบ่ายส่องเข้ามา
ทำให้ผมต้องปิดม่านเพราะกลัวคนอื่นเขาจะร้อน ระหว่างนี้รถเปิดหนังจีนพากษ์ไทย
เป็นหนังเก่าสมัยเฉินหลงหนุ่ม ๆ ผมงีบหลับไปจนแสงแดดเหมือนจะอ่อนลงหน่อย ผมจึงเปิดม่านออกดูวิวข้างทาง
เห็นภาพลำน้ำสายเล็ก ๆ ไหลคดเคี้ยวไปตามเชิงเขาขนาบด้วยนาที่ปลูกเป็นขั้นบันได
ภูเขาลูกหนึ่งโค้งมนสวยงามเหมือนลูกระฆัง
ที่ตีนเขาเป็นนาขั้นบันไดลดหลั่นเป็นชั้น ๆ ราวกับมาลัยเถาของเจดีย์ทรงลังกา
เมื่อเข้าเขตหมู่บ้านก็เห็นบ้านเรือนปลูกด้วยไม้ยกใต้ถุนสูง
หลังคามุงกระเบื้องดินขอมียกหลังคาซ้อนเล็กๆน่าจะเอาไว้ระบายควันไฟจากการหุงหาอาหาร
ฝาทำด้วยไม้เป็นแผ่น ๆ ส่วนมากตีแนวตั้ง เห็นเรือนหลังหนึ่งตีฝาดูน่าสนใจแต่รถวิ่งเร็วเหลือเกิน
วัดซ่อมใหม่จนดูเป็นบ้านปูนสมัยใหม่มากกว่าในหมู่บ้าน
มุงกระเบื้องลอนสีแดงอย่างที่เคยอธิบายไปแล้ว
รถจอดแวะพักที่ดอยปางคอย
ที่นี่มีด่านตรวจและร้านขายของข้างทาง สภาพเป็นร้านขายของฝากจำพวก ผัก ผลไม้ เป็นต้น
น้องเมย์หันมาบอกว่า ลงจากดอยนี้ไปเราก็จะถึงเมืองเชียงตุงแล้ว
หลังจากที่เรานั่งรถมากว่าห้าชั่วโมงกับระยะทางประมาณ ๑๕๐กิโลเมตร ผมก็เห็นต้นยางใหญ่
ไม้หมายเมืองของเชียงตุงโดดเด่นอยู่บนเนินเขาลูกหนึ่งซึ่งน้องเมย์บอกว่าเป็นเขตทหาร
ส่วนอีกด้านก็เป็นเนินเขาที่มีทางไปสนามกอล์ฟ บ้านเรือนในเมืองเชียงตุงหลายหลังมุงกระเบื้องดินขอ
เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวบ้าง บ้านครึ่งไม้ครึ่งปูนสองชั้นบ้าง และอาคารพาณิชย์แบบในเมืองไทยก็มีให้เห็น
แสงแดดอ่อนๆที่ฉาบทาบ้านเรือนที่ปลูกเรียงกันไปตามเนินเขา เป็นภาพอันสวยงามที่ต้อนรับเราก่อนจะได้ก้าวลงไปเหยียบเมืองเชียงตุงในวันนี้
ระหว่างที่ผมกำลังไปเอาสัมภาระที่เขากำลังทยอยขนลงมาให้
น้องเมย์ก็ไปเรียกรถแดงเพื่อจะพาเราไปส่งที่พัก
น้องเมย์แวะไปยื่นเอกสารที่ ต.ม. ที่อยู่ห่างจากท่ารถไปไม่ไกล
แล้วเราก็มุ่งไปยังเฮนรี่เกสต์เฮาส์ ระหว่างทางผมสังเกตดูบ้านเรือนสองข้างทางไปจนกระทั่งรถขึ้นเนินแล้วเลี้ยวขวาไปผ่านวงเวียน
น้องเมย์ชี้ให้ดูโรงแรมนิวเชียงตุงที่อยากจะให้เรามาพัก แต่ผมรู้มาก่อนแล้วว่าที่นี่เดิมเป็นที่ตั้งของหอหลวงหรือวังของเจ้าฟ้าเชียงตุง
ก่อนจะถูกรื้อลงและสร้างเป็นโรงแรมที่ดูจะดีที่สุดในเชียงตุงตอนนี้
รถแล่นผ่านแนวกำแพงเมืองด้านเหนือ สักพักเราก็มาถึงเฮนรี่เกสต์เฮาส์ที่มักจะมีคณะทัวร์ไทยมาพักเสมอ
ผมจ่ายค่ารถไปในราคา ๑๒๐ บาทกับระยะทางที่ไม่น่าจะเกิน ๒กิโลเมตร คุณป้าเจ้าของที่นี่บอกให้เราไปดูห้องก่อน
ถ้าไม่พอใจก็ไม่เป็นไรเพราะห้องไม่ค่อยดีนัก เราจำเป็นต้องเลือกระหว่างห้องพักในบ้านปูนเย็น ๆ มีสองเตียงนอนแต่แคบ กับบ้านหลังเดี่ยวที่มีเตียงใหญ่เตียงนึงและเตียงเล็กเตียงนึง
เราตกลงว่าจะพักที่บ้านเดี่ยวเพราะไกด์จะได้นอนห้องเดียวกับเราไปเลยไม่ต้องเสียค่าห้องเพิ่ม
ห้องนี้ดูเก่าและพังไปนิดแต่ก็ไม่แย่อะไรนัก แค่ประตูห้องน้ำล็อคไม่ได้
ลูกบิดที่ประตูหน้าเสีย ไฟห้องน้ำไม่ติด แต่ยังดีที่มีเครื่องทำน้ำอุ่น
น้องเมย์ขอตัวกลับไปที่บ้านเพื่อทำธุระส่วนตัว
ผมนัดให้น้องกลับมารับเราไปกินข้าวตอนห้าโมงครึ่ง
ที่นี่เวลาท้องถิ่นจะช้ากว่าที่ประเทศไทยครึ่งชั่วโมง
คงนับตามเวลาที่เมืองหลวงของพม่า
แต่ผมยึดเวลาไทยเป็นหลักเพราะช่วงวันของที่นี่ตรงกับประเทศไทยมากกว่า
น้องเมย์บอกว่าคนที่นี่เข้าใจถ้าเพียงแต่เราต้องบอกเขาให้ชัดเจนว่าเป็นเวลาไทยหรือเวลาพม่า
เราอ้อยอิ่งกันนิดหน่อยกว่าจะได้ออกไปกินข้าว คุณป้าเจ้าของเกสต์เฮาส์บอกว่าจะซ่อมประตูที่เสียให้ระหว่างที่เราไม่อยู่
น้องเมย์พาเราเดินกลับเข้าไปในเมืองระหว่างนั้นฟ้าก็เริ่มมืดลง เมื่อผ่านแนวกำแพงเมืองเก่าเข้ามาเราเลี้ยวขวาแล้วเดินขึ้นเนินไปหน่อยแล้วก็ลงเนินอีกที
ก็มาถึงริมหนองตุงทางด้านเหนือ ซึ่งมองเห็นเนินเขาพระธาตุจอมคำทางด้านซ้าย
และเนินเขาพระชี้นิ้วอยู่ทางอีกฟากของหนองน้ำค่อนไปทางทิศใต้
ทั้งหมดนี้อยู่ในอาณาเขตกำแพงเมืองเชียงตุงมาแต่เดิม
น้องเมย์พาเราเดินไปร้านอาหารฝั่งตีนเขาพระธาตุจอมคำ
ที่ริมหนองตุงมีรั้วรอบตลอดและมีถนนตัดรอบหนองน้ำขนาดใหญ่นี้
น้องเมย์บอกว่าชาวบ้านไม่สามารถลงไปจับปลาในหนองน้ำนี้ได้
มีเพียงบ้านเดียวที่สามารถจะจับปลาในหนองตุงนี้ได้เพราะถือว่ามีสิทธิ์เป็นเจ้าของหนองน้ำแห่งนี้
ข้อมูลที่น้องเมย์เล่าอาจจะเป็นไปได้ เพราะผมเห็นมีเรือที่ต่อด้วยไม้ไผ่ยาว ๆ เพียงลำเดียวที่ลอยลำหาปลาอยู่ในหนอง
แต่ผมก็ไม่ได้ถามให้ลึกลงไปกว่านั้น เพราะน้องดูจะอธิบายให้เราฟังได้ไม่ถนัดนัก
อาหารมื้อค่ำในร้านปูนทาสีชมพูไม่ค่อยถูกปากเรานัก
ไม่แน่ใจว่าเพราะรสชาติที่อ่อนเกินไปหรือว่ากับข้าวร้านนี้ไม่อร่อย
แต่น้องเมย์บอกกับเราว่าร้านนี้เป็นที่นิยม ผมคุยกับน้องเมย์เรื่องทั่วไป
อย่างเช่นทำไมต้องนุ่งซิ่นอยู่ตลอด
น้องอธิบายว่าเป็นกฏสำหรับไกด์ตอนไปติดต่อสถานที่ราชการ
แล้วก็เรื่องการใช้ไฟฟ้าในเมืองเชียงตุงที่มีจำกัด
เพราะเวลาเรามองไปรอบ ๆ จะเห็นว่าบ้านเรือนส่วนใหญ่รวมถึงถนนหนทางดูมืด ๆ
มีเพียงไม่กี่ที่ที่มีไฟส่องสว่าง
น้องเมย์บอกว่าที่นี่ไฟฟ้าจะจ่ายเวียนกันไปเป็นย่าน ๆ
แต่บางบ้านก็จะมีเครื่องปั่นไฟใช้เอง หลังจากมื้อค่ำเราจึงพากันเดินเลาะข้างถนนริมหนองตุงเพื่อไปยังย่านของกินกลางคืน
น้องเมย์เอาไฟฉายที่พกมาด้วยส่องทางให้เราระหว่างเดินไป แล้วเราก็เลี้ยวซ้ายขึ้นเนินไปทางข้างหอหลวงหรือโรงแรมนิวเชียงตุง
พอมาถึงถนนสายหลักที่เส้นที่ผ่านหน้าหอหลวงเราก็เลี้ยวขวาไปทางวงเวียน
ถนนเส้นนี้มีไฟส่องสว่างดี กลางวงเวียนมีอาคารก่ออิฐถือปูนทรงปราสาทจตุรมุขมีเรือนยอดซ้อนขั้นขึ้นไปดูคล้ายเป็นของพม่า
จากการพูดคุยกับน้องเมย์และภาพที่เห็นให้เราสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่อยู่ในใจของคนที่นี่
เช่นคำพูดที่เขาพูดถึงพระชี้นิ้ว และความรู้สึกต่อหอหลวงที่ถูกทุบทำลายไป
เราไปกินโรตีกับนมสดกันที่ร้านข้างทางริมกำแพงวัดไม่ไกลจากวงเวียนอนุสาวรีย์อิสรภาพ
แล้วเราก็เดินย้อนกลับมาที่วิหารกลางวงเวียน ที่ตอนนี้มีนั่งร้านไม้ไผ่ต่อไว้สำหรับซ่อมแซมเรือนยอดของวิหาร
น้องเมย์บอกว่าวิหารยังไม่ปิดเราสามารถเข้าไปไหว้พระได้
ผมจึงข้ามถนนไปแต่ปรากฏว่าเขากำลังจะปิดวิหารอยู่พอดี
น้องเมย์เลยไปคุยกับลุงที่เฝ้าเขาจึงยอมเปิดประตูให้ ภายในวิหารมีแท่นประดิษฐานพระมหามัยมุนีองค์จำลองอยู่ค่อนไปทางมุขด้านทิศเหนือ
องค์พระหน้าตักกว้างราวสองเมตรครึ่ง
ภาษาพม่าเรียกพระเจ้าระแข่งแต่คนที่นี่เรียกพระเจ้าหลวง
เป็นพระพุทธทรงเครื่องแบบพม่าพระพักตร์หล่อด้วยทองคำเป็นมันวาว ต่างจากส่วนองค์ที่เป็นสีทองขุ่นทำนององค์จริงที่มัณฑะเลย์
เพียงแต่ไม่ได้ทำเป็นองค์ตะปุ่มตะป่ำอย่างนั้น
แต่ก็ถือได้ว่าองค์นี้จำลองได้งดงามน่าชมทีเดียว
เมื่อกราบพระแล้วเราก็พากันเดินกลับที่พัก
ระหว่างเดินกลับที่พักเราปรึกษากันเรื่องที่จะไปวัดบ้านแสนและวัดหนองหลวง น้องเมย์โทรติดต่อเรื่องรถให้ ได้ความว่าถ้าไปวัดบ้านแสนเหมาไป - กลับ ๑ วัน ราคา ๑๐๐,๐๐๐ จั๊ด หรือราว ๆ ๓,๕๐๐ บาท ถ้าไปวัดหนองหลวงในเขตเมืองลาต้องค้างเมืองลา ๑ วัน เหมารถ ๒ วันราคา ๒๘๐,๐๐๐ จั๊ด แต่มีข้อเสนอที่ดูน่าสนใจคือ ถ้าไปวัดหนองหลวงแล้วค้างเมืองลา ๑ คืน แล้ววันกลับก็แวะวัดบ้านแสน เขาจะคิดในราคา ๒๘๐,๐๐๐ จั๊ด ผมฟังแล้วก็สนใจแม้ราคาจะสูงอยู่ไม่น้อยเลย ในใจผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเป็นราคาที่เขาคิดกับคนที่นี่จะแพงอย่างนี้หรือเปล่า ผมยอมตกลงเพราะไม่รู้ว่าจะมีทางเลือกที่ดีกว่านี้หรือเปล่า และเวลาก็มีไม่มากให้หาข้อมูล จึงบอกให้น้องเมย์โทรบอกคนรถให้มารับเราตอน ๖ โมงเช้าวันพรุ่งนี้
ระหว่างเดินกลับที่พักเราปรึกษากันเรื่องที่จะไปวัดบ้านแสนและวัดหนองหลวง น้องเมย์โทรติดต่อเรื่องรถให้ ได้ความว่าถ้าไปวัดบ้านแสนเหมาไป - กลับ ๑ วัน ราคา ๑๐๐,๐๐๐ จั๊ด หรือราว ๆ ๓,๕๐๐ บาท ถ้าไปวัดหนองหลวงในเขตเมืองลาต้องค้างเมืองลา ๑ วัน เหมารถ ๒ วันราคา ๒๘๐,๐๐๐ จั๊ด แต่มีข้อเสนอที่ดูน่าสนใจคือ ถ้าไปวัดหนองหลวงแล้วค้างเมืองลา ๑ คืน แล้ววันกลับก็แวะวัดบ้านแสน เขาจะคิดในราคา ๒๘๐,๐๐๐ จั๊ด ผมฟังแล้วก็สนใจแม้ราคาจะสูงอยู่ไม่น้อยเลย ในใจผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเป็นราคาที่เขาคิดกับคนที่นี่จะแพงอย่างนี้หรือเปล่า ผมยอมตกลงเพราะไม่รู้ว่าจะมีทางเลือกที่ดีกว่านี้หรือเปล่า และเวลาก็มีไม่มากให้หาข้อมูล จึงบอกให้น้องเมย์โทรบอกคนรถให้มารับเราตอน ๖ โมงเช้าวันพรุ่งนี้
...........................................................
วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ เช้าวันนี้อากาศหนาวกำลังดี
พวกผมตื่นนอนกันตั้งแต่เช้าแต่ก็ออกมาสายกว่า ๖ โมงนิดหน่อย
ยังไม่เห็นคนขับรถมาเราจึงไปเดินเล่นในตลาดเล็ก ๆ ในซอยฝั่งตรงข้าม ตลาดเช้าที่นี่เป็นตลาดแบกับดินง่าย ๆ ขายผักกับของกินเล็กน้อย
ผมแวะกินน้ำเต้าหู้กับเต้าฮวย เต้าฮวยที่นี่เต้าหู้จะอุ่นและหอมอร่อยมากแต่น้ำขิงเป็นน้ำเหนียว ๆ เพราะเคี่ยวกับน้ำตาลมาแล้ว
ไม่ได้เป็นน้ำขิงใส ๆ ต้มมาร้อน ๆ อย่างที่ผมเคยกิน ระหว่างนั่งกินก็ได้พูดคุยกับพี่สาวคนไทยที่มาเที่ยวเชียงตุงและพักที่เดียวกับเราเมื่อคืน
สักพักนึงเราก็เดินกลับมาที่เกสต์เฮาส์ซึ่งมีอาหารเช้าเป็นโรตีทอดกับน้ำชา กินเสร็จก็จ่ายค่าที่พักในราคา ๔๐๐ บาท ระหว่างนั้นคนขับรถก็มารอเราอยู่แล้ว
ออกมาจากตลาดน้องเมย์ก็ต้องไปยื่นเอกสารที่ ต.ม.
เสร็จแล้วเราก็แวะซื้อน้ำดื่มและของที่จะเอาไปให้เด็กน้อยที่วัดบ้านแสนและวัดหนองหลวง
น้องเมย์แนะนำเราว่าคนที่นั่นต้องการสบู่
กว่าเราจะได้ออกจากเชียงตุงก็ประมาณแปดโมง ผ่านหนองคำและสามยอดเกสต์เฮาส์ออกไปทางสนามบิน
เห็นเด็กน้อยกำลังเดินเข้าไปในโรงเรียน นอกเมืองมีหมอกลงหนาพอสมควรมองไปได้ไม่เกินสามร้อยเมตร
แถวนี้มีด่านตรวจอยู่ด้วยแต่ก็ไม่ได้มีเรื่องยุ่งยากอะไร เราเดินทางผ่านทุ่งนาและหมู่บ้านออกมาหน่อยก็เห็นว่ามีการทำถนน
ผมเห็นแล้วนึกถึงการทำถนนที่พ่อเคยเล่าให้ฟัง ว่าเมื่อประมาณ ๕๐ ปีที่แล้วที่บ้านเราก็ทำถนนแบบนี้
คือชาวบ้านจะมาช่วยกันเรียงหินที่ถูกทุบออกมาให้มีขนาดเท่ากำปั้น
ผู้หญิงจะช่วยกันเรียงหินลงบนพื้นอย่างเป็นระเบียบ
ผู้ชายก็จะช่วยกันทุบหินด้วยฆ้อนปอนด์ เมื่อเรียงเสร็จแล้วเขาก็จะราดยางมะตอยและสาดหินกรวด
ระหว่างทางที่ผมนั่งรถผ่านไปผมเห็นบ้านเรือนส่วนใหญ่ยังเป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนสูงหลังคามุงด้วยกระเบื้องดินขอ ส่วนวัดจะซ่อมเป็นของใหม่มุงกระเบื้องลอนสีแดงเสียมาก
ผ่านหมู่บ้านออกมาก็เป็นที่นาสลับกับหนองน้ำ ผมเห็นหนองน้ำแห่งหนึ่งมีต้นบัวหลวงแห้งตายอยู่เต็มบึงท่ามกลางบรรยากาศของม่านหมอก
ชวนนึกถึงความเศร้าโศกวังเวง
ผมมองเห็นแม่น้ำสายหนึ่งทางซ้ายมือตอนสายเมื่อเมฆหมอกจางหายไปแล้ว น้องเมย์บอกว่านี่คือแม่น้ำขืนเป็นแม่น้ำที่ไหลย้อนขึ้นไปทางเหนือ บริเวณสองข้างของแม่น้ำเป็นที่ราบเชิงเขา มีท้องนากับหมู่บ้านที่แลเห็นได้เป็นกลุ่มๆ เห็นวัดหลังคาสีแดงปักยอดแหลมๆสีเงินบนสันหลังคาอยู่ไกล ๆ มีสะพานไม้เล็กๆสร้างข้ามแม่น้ำแบบที่มอเตอร์ไซค์จะพอข้ามไปได้ หลังจากนี้จะเป็นทางขึ้นเขาผมมองเห็นทะเลหมอกในแอ่งเขาไกลที่อยู่ออกไป
ถนนลาดยางลัดเลาะไปตามไหล่เขาจนกระทั่งเข้าเขตหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
ผมเห็นวัดเก่าที่กำลังซ่อมหลังคาและสร้างกำแพงใหม่ อาคารหลักของวัดน่าจะเป็นวิหารสร้างเป็นจั่วแหลมจันทันเป็นเส้นหย่อนแลเห็นว่าตั้งตุ๊กตาด้วย
ชวนให้นึกถึงวิหารโบราณแบบสุโขทัย ผมเพิ่งเห็นวิหารแบบนี้เป็นที่แรกตั้งแต่มาเชียงตุง
ถนนตัดผ่านข้างวัดและก็ผ่านหมู่บ้านไป ที่จริงผมก็อยากแวะเพราะเห็นทะเลหมอกที่อยู่ใกล้ราวกับจะกระโดดลงไปได้
แต่น้องเมย์บอกว่าจะมีจุดชมวิวสวย ๆ เราเลยผ่านเลยมา
จะกระทั่งผ่านหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนสันเขาเป็นบ้านไม้มุงหญ้าคา
สภาพเหมือนบ้านชาวเขาในภาคเหนือของประเทศไทย หมู่บ้านนี้มีวัดคาทอลิคกับวัดพุทธที่กำลังสร้างคล้ายจะยังไม่เสร็จดี
ไปอีกหน่อยเราก็มาถึงจุดชมวิวที่มองเห็นทะเลหมอกในแอ่งเขาทางทิศตะวันตก
แต่เพราะสายพอสมควรแล้วหมอกเลยไม่เยอะเท่าไรแต่ท้องฟ้าก็สดใสดีมาก
เราออกเดินทางต่อมาในหุบเขาที่สูงชัน เส้นทางระหว่างนี้มีการซ่อมถนนด้วยวิธีการคล้ายกันกับที่ทำกันด้านล่าง จนกระทั่งถึงด่านตรวจแห่งหนึ่งที่ดูมีความสำคัญ ที่นี่น้องเมย์ต้องลงไปยื่นเอกสารส่วนผมก็ลงไปเข้าห้องน้ำ ด่านตรวจนี้อยู่ใกล้กับสะพานข้ามแม่น้ำสายหนึ่งที่ไหลไปทางทิศตะวันออก เมื่อเราข้ามแม่น้ำไปเราก็ผ่านหมู่บ้านและเลยไปอีกสักพักพี่หลวงติ๊บก็ชะลอให้เราดูทางลูกรังที่ตัดแยกเข้าไปทางซ้ายมือ ซึ่งก็คือทางที่จะขึ้นไปวัดบ้านแสน ผมงีบหลับต่อไปอีกหน่อยก็มาถึงด่านตรวจของทหาร ผมเข้าใจว่าจากนี้ไปจะเข้าสู่เขตการปกครองพิเศษเมืองลา เส้นทางต่อจากนี้เป็นทางที่ตัดเรื่อยไปตามตีนเขา ด้านขวามือเป็นทิศใต้มีที่ราบระหว่างหุบเขาใช้เป็นพื้นที่ทางการเกษตร เราผ่านด่านตรวจอีกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในหมู่บ้านที่ดูเจริญหน่อย มีอาคารพาณิชย์ให้เห็นแต่ส่วนใหญ่ก็เป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนสูงปลูกติดๆกันหลายหลังคาเรือน ทำเลที่ตั้งคล้ายๆกับหมู่บ้านที่เมืองพยากที่ได้เห็นเมื่อวาน แต่ที่นี่มีลักษณะบ้านเรือนต่างออกไปสักหน่อยแต่ก็แจกแจงไม่ถูกเพราะไม่ได้แวะดูให้ละเอียด ผมให้พี่หลวงติ๊บจอดรถเพื่อลงไปดูวัดของหมู่บ้านนี้ เป็นวัดทำนองอย่างที่เห็นบนเขา วัดนี้มีวิหารเป็นอาคารหลักของวัดมีหลังคาเชื่อมต่อกับส่วนที่เป็นกุฏิ หลังคาเป็นจั่วปิดมีชายคารอบ จั่วมีขนาดเล็กไม่ทำหน้าบันโดดเด่นนักแต่ต่อมุขออกมาทางด้านหน้าเป็นจั่วเปิดใช้เป็นทางเข้าสู่วิหาร หลังคามุงกระเบื้องดินขอประดับด้วยเครื่องเคลือบดินเผารูปสัตว์บ้าง รูปอย่างใบระกาหางสส์บ้าง เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของวัดแถบนี้ เสียดายมีเวลาดูอยู่ไม่ถึงห้านาที คิดว่าจะกลับมาแวะดูอีกที
ถัดจากนี้เราก็ผ่านทางขึ้นวัดหนองหลวง แต่เราต้องเข้าเมืองลาก่อนเพื่อให้น้องเมย์ไปยื่นเอกสารและติดต่อที่พัก แต่ผมเห็นว่ามันจะเที่ยงวันแล้วจึงบอกให้ค่อยกลับมาหาที่พักตอนกลับลงมาจากวัดหนองหลวง ระหว่างทางเข้าเมืองลาเราผ่านหมู่บ้านกับวัดทำนองเดียวกับที่มาเมื่อสักครู่อีกสาม-สี่แห่ง เป็นหมู่บ้านในเขตเมืองม้า ผมหมายตาวัดแห่งหนึ่งเอาไว้สบโอกาสจะแวะดูสักหน่อย ก่อนเข้าเมืองลาน้องเมย์ชี้ให้ดูทางเยกที่จะขึ้นไปบ้านของเจ้าเมืองลา ผูนำของเขตปกครองพิเศษเมืองลาแห่งนี้ ถนนตรงปากทางเข้าเมืองลาเป็นถนนใหญ่ต่างจากที่ผ่านมาสิ้นเชิง แม้จะขรุขระและฝุ่นคลุ้งไปเสียหน่อยแต่ก็กว้างกว่า มีปั๊มน้ำมันปตท.และมีสัญญาณโทรศัพท์ แต่ค่าโทรแพงทีเดียวแถมถ้ารับก็เสียตังค์อีกต่างหาก เมืองลาเป็นเมืองทันสมัยกว่าที่เชียงตุงเหมือนข้ามมาอีกประเทศ เราข้ามแม่น้ำตื้น ๆ สายหนึ่งที่ไหลมาจากทางเมืองม้าแล้วเข้าสู่ย่านการค้า สภาพห้างร้านดูดีมีสินค้าแบร์นเนมหลายยี่ห้อ สินค้าแฟชั่นมีให้เลือกมากมาย ที่นี่เหมือนจะมีคนจีนเป็นส่วนใหญ่เพราะใช้ภาษาจีนเป็นหลักสังเกตได้จากป้ายตามห้างร้าน ผู้คนแต่งตัวกันดูเหมือนกับคนในเมืองใหญ่แต่ดูน่าอึดอัดเพราะอากาศไม่ได้หนาวขนาดนั้น น้องเมย์แวะไปทำเรื่องที่สำนักงานบนเนินเขาลูกหนึ่ง แล้วเราก็ออกจากเมืองลามาตามทางเดิมเพื่อจะไปวัดหนองหลวง ซึ่งเป้าหมายของการเดินทางของเราในวันนี้
เลยเที่ยงวันมาแล้วสักพักเมื่อเรามาถึงปากทางลูกรังที่จะขึ้นไปวัดหนองหลวง วันนี้แดดจัดพอสมควร ท้องฟ้าก็สดใสมากแต่สภาพอากาศไม่ร้อนอบอ้าวแต่อย่างใด พี่หลวงติ๊บแวะเติมน้ำในหม้อน้ำและกินข้าวกลางวัน ผมกินข้าวมาแล้วห่อหนึ่งตอนนั่งรถมาเลยยังไม่ค่อยหิว จึงไปถ่ายรูปป้ายที่เขียนชื่อวัดหนองหลวงเป็นภาษาไทยใหญ่ ภาษาพม่า ภาษาจีน ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ แล้วก็กลับมานั่งทำความเข้าใจกับฟังก์ชั่นของกล้องถ่ายรูปบนรถ ในใจรู้สึกเสียดายที่พลาดรูปถ่ายสวยๆจากวิวตามรายทางที่ผ่านมา เลยทำให้นึกย้อนไปถึงคำพูดของเพื่อนคนหนึ่งที่เคยไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆสมัยเรียน
“ไม่เป็นไร.. เก็บไว้คิดถึง”
ถนนลูกรังแคบๆตัดเลาะไปตามไหล่เขา มีรถมอเตอร์ไซค์สวนมาให้เห็นสอง - สามคัน ผมสังเกตเห็นภูเขาแถบนี้ปลูกต้นยางพารากันมาก น่าจะเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญอีกอย่างหนึ่งของที่นี่ ขับลึกเข้ามาไม่นานเราก็เจอกับทางแยก โชคดีที่เราเลือกผิดแล้วไปเจอคุณลุงคนหนึ่งขับรถมอเตอร์ไซค์ออกมาทำให้ไม่ต้องหลงไปไกล แต่พอกลับออกมาแล้วไปต่อเราก็เจอทางแยกอีก พี่หลวงติ๊บไม่มั่นใจจึงหยุดรถเดินลงไปดูเส้นทาง เพราะทางข้างหน้าเป็นเนินลาดชัน แถมยังหักศอกและมีร่องที่ถูกน้ำเซาะอยู่กลางถนน เราตัดสินใจย้อนกลับออกมาแล้วหยุดรอเผื่อจะมีใครผ่านมาให้ถาม ที่จริงไกด์ของเราไม่เคยเข้าไปที่วัดหนองโหลง ส่วนพี่หลวงติ๊บเคยเข้ามาแต่จำทางไม่ได้ เราเสียเวลารออยู่สักพักแต่ก็ไม่มีใครผ่านมา พี่หลวงติ๊บจึงตัดสินใจเลือกเส้นทางที่จะไปต่อด้วยตัวเอง
เราเดินหน้าไปต่อโดยไม่รู้เลยว่ามันถูกทางหรือเปล่า
เส้นทางค่อนข้างอันตรายเพราะด้านข้างเป็นเหวลึกลงไปด้านหนึ่ง อีกด้านก็เบียดกับไหล่เขาไปตลอด แต่ดีที่เราค่อนข้างกำลังใจดี อย่างน้อยก็ไม่มีใครพูดว่าถอย
ทำให้บรรยากาศในรถเป็นไปแบบสบายๆถึงแม้ว่าเส้นทางดูจะโหดร้ายมากขึ้นก็ตาม พี่หลวงติ๊บใช้เวลาเกือบๆ ๑ ชั่วโมงขับรถไปจนกระทั่งเราเข้ามาถึงในหุบที่ถูกปกคลุมไปด้วยเงาของร่มไม้ใหญ่
มีลำธารสายหนึ่งไหลผ่านและมีสะพานคอนกรีตข้ามไป
ที่เชิงสะพานมีป้ายไม้เล็กๆเขียนตัวหนังสือไว้ น้องเมย์เห็นแล้วก็หันมาบอกว่า “เรามาถูกทางแล้ว” ระหว่างนี้ก็มีรถบรรทุกขับสวนทางออกมาสองคัน
จะเป็นรถบรรทุกสินค้าหรืออะไรก็ไม่อาจรู้ได้
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความสามารถของพี่หลวงติ๊บหรือว่าเป็นโชควาสนา ในที่สุดผมก็เห็นหมู่บ้านหนองหลวงและวัดอยู่ไกลๆ ข้างทางมีต้นไม้ใหญ่ให้พบเห็นหลายต้น ดูเป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์มากกว่าด้านนอก เห็นมีไร่ชาปลูกเป็นระดับลงไปในหุบเขาข้างทาง อีกชั่วอึดใจพี่หลวงติ๊บก็ขับรถพาเรามาถึงหน้าวิหารหลวงซึ่งมีถนนคอนกรีตตัดตรงเข้าไปในวัด ด้านล่างมีทางอีกเส้นที่ใช้เข้าไปในหมู่บ้าน แต่เป็นทางดินแดงไม่ใช่ทางคอนกรีตอย่างข้างบนนี้ มีบันไดอยู่ด้านนอกริมกำแพงแก้วสำหรับใช้เดินลงไปในหมู่บ้าน กำแพงแก้วก่อดัวยอิฐสูงประมาณเมตรครึ่ง มีบันไดสำหรับขึ้นไปเดินบนกำแพงแก้วนี้ได้ จนผมรู้สึกว่ามันเหมือนเชิงเทินรักษาการณ์ของป้อมปราการ เพราะเบื้องล่างเป็นหน้าผาลึกลงไปและเมื่อขึ้นไปยืนก็สามารถมองเห็นหมู่บ้านเบื้องล่างได้ถนัดตา แต่หมู่บ้านเปลี่ยนหลังคาเป็นกระเบื้องลอนสีฟ้าสดใสกันเสียมาก ทำให้บรรยากาศที่กลมกลืนกับธรรมชาตินั้นหมดลงไป แต่การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างมันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะมันคือพื้นที่ส่วนตัวที่เจ้าของเขาใช้ประโยชน์ ผมหันไปมองวิหารหลวงด้วยความรู้สึกดีใจ ไม่คิดว่าจะได้มาถึงที่นี่จริง ๆ
นับตั้งแต่นั้นผมก็วาดฝันว่าจะได้มาที่นี่มาตลอด
ด้วยความสนอกสนใจในงานสถาปัตยกรรมและศิลปะโบราณ แต่ก่อนผมไม่เคยรู้เลยว่าจะมีสถานที่แบบนี้หลงเหลืออยู่
สถานที่ที่มีลักษณะทางกายภาพของชุมชนดั้งเดิม ทำให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นของพัฒนาการจากบ้านไปสู่เมือง
และได้เห็นภาพของระบบความเชื่อดั้งเดิมของชาติพันธุ์ไทที่อาศัยอยู่ณ
ภูมิภาคนี้มายาวนาน แม้ระบบความเชื่อเหล่านั้นอาจดูไม่ซับซ้อนมากนัก แต่ทว่าลึกซึ้งและผูกพันกับที่อยู่ที่อาศัยอย่างมีรายละเอียด
การได้มาที่นี่จึงเป็นการเปิดมุมมองของผมเอง ออกจากแนวคิดเดิม ๆ ที่ยึดติดอยู่ในกรอบของเส้นเขตแดน
ที่ช่วงเสาบริเวณหน้าตักของพระประธาน มีราวไว้สำหรับปักเครื่องสูงจำพวก ร่ม บังแทรก เสาหัวเม็ดดอกบัวตูม เป็นต้น ที่ผนังทางด้านซ้ายมีช่องประตูสำหรับออกไปด้านข้างของวิหาร ซึ่งจะมีบันไดสร้างหลังคาคลุมเป็นทางเชื่อมขึ้นไปยังอุโบสถที่อยู่บนเนินที่สูงขึ้นไปอีก เมื่อเดินขึ้นไปบนลานอุโบสถก็เหมือนว่าเราจะเดินอยู่บนหลังคาของวิหารหลวงได้เลยทีเดียว หลังคาวิหารหลวงยังคงมุงด้วยกระเบื้องดินขอประดับด้วยเครื่องเคลือบดินเผาเป็นช่อฟ้าบราลี มีข้อมูลเพิ่มเติมว่าแต่เดิมวิหารหลวงหลังนี้มุงด้วยกระเบื้องดีบุก แต่ในปัจจุบันได้ซ่อมแซมเปลี่ยนแปลงไปแล้ว อย่างอุโบสถและมณฑปด้านหน้าก็เปลี่ยนมามุงด้วยกระเบื้องลอนสีแดงซึ่งน่าจะซื้อหามาซ่อมแซมได้ง่ายกว่า
ช่วงเย็นประมาณสี่โมงผมเห็นผู้เฒ่าสองคนขึ้นมาที่วัด คนหนึ่งไปเอากาน้ำที่ตั้งอยู่หน้าพระประธานในวิหารหลวง แล้วเดินไปที่หอไหว้เล็ก ๆ ใต้ต้นโพธิ์หน้าวัด แล้วเขาก็เดินมาทางผมที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าไปในเขตกำแพงแก้วหน้าลานพระอุโบสถ ตรงนี้มีหอไหว้ก่ออิฐเล็กๆอยู่หลังหนึ่ง ผู้เฒ่าเอาน้ำในการดลงที่หอไหว้นั้นแล้วไหว้ทำความเคารพ ผมดูอยู่พักหนึ่งแล้วเดินเข้าไปทางอุโบสถอีกครั้ง เพราะเห็นประตูเปิดอยู่ เมื่อผมเดินเข้าไปก็ตกใจที่เห็นเสากลมปิดทองต้นหนึ่งขวางอยู่ด้านในตรงกับช่องประตู เงาของเสาลากไปทับบรรดาพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่บนชุกชีกลางห้องนั้น
ผู้เฒ่านั่งสวดมนต์ด้วยอาการสำรวมอยู่ในที่นั้นด้วยสำเนียงการสวดที่ฟังแล้วแปลกหูไม่รู้ว่าเป็นบทอะไร ผมกราบพระแล้วเดินกลับออกมาทางบันไดที่ทอดลงเนินไปหน้าวิหารหลวง
ผมมีเวลาอยู่ที่วัดหนองหลวงได้ประมาณ ๑ ชั่วโมงครึ่ง ไกด์สาวเร่งให้ผมรีบกลับเพราะถ้าฟ้ามืดไปก่อนขณะที่พี่หลวงติ๊บขับรถลงเขาจะลำบากมาก ผมจะขอนอนค้างบนนี้เขาก็ไม่ยอม สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ เข้าไปกราบพระประธานในวิหารหลวงแล้วเดินไปเอาผ้าห่มที่แบกมาจากบ้านคนละผืน ถวายให้เณรรูปหนึ่งที่นั่งทอดสายตาเหงาๆลงไปในหมู่บ้านอยู่บนกำแพงแก้ว ทีแรกเขาก็งง ๆ แต่ชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นบอกให้ว่า “เพิ่นทาน” เณรจึงรับผ้าห่มเอาไว้และนั่งค้างอยู่อย่างนั้นจนเราออกมา น้องเมย์บอกว่า ผมให้พี่หลวงติ๊บจอดข้างถนนที่เป็นลานคอนกรีตหน้าวัดและก็เอาขนมห่อใหญ่ไปถวายเณรที่เล่นกันอยู่ตรงนั้น เณรสองรูปยินดีรับของถวายไว้และท่องบทให้พรอย่างคล่องแคล่วและน่ารักดี
พระอาทิตย์ทอแสงอ่อนลงเรื่อยๆก่อนที่จะหายลับไปในเหลี่ยมเขาขณะที่พี่หลวงติ๊บขับรถพาเราออกมาตามทางเดิม
ขากลับใช้เวลาไม่มากเท่าขาเข้าไป พอออกมาถึงปากทางฟ้าก็โพล้เพ้เต็มที ผมมองดูพื้นที่ทางการเกษตรข้างทาง
เห็นมีดงกล้วยขนาดใหญ่หลายร้อยไร่คิดว่าน่าจะเป็นกล้วยหอม
เขาห่อกล้วยทั้งเคลือเอาไว้ด้วยตาข่ายเหมือนมุ้งเพื่อกันแมลง
เรากลับเข้าเมืองลาแล้วไปที่โรงแรมซึ่งอยู่แถวตีนสะพานแห่งความรัก
เป็นโรงแรมคนจีนที่สภาพค่อนข้างดีพอสมควร เราขนสัมภาระออกจากท้ายรถที่เขรอะไปด้วยฝุ่นสีเหลือง
เราพักกันอยู่ที่ชั้นล่างของตึกมีแอร์ มีตู้เย็น และทีวีที่ดูละครไทยได้ อาบน้ำพักผ่อนกันพอสมควรแล้วก็ออกไปกินข้าวเย็นที่ตลาด
เมืองลายามค่ำคืนดูคึกคักมากกว่าเมืองเชียงตุงได้อย่างไม่ต้องสงสัย
เพราะมีทั้งบ่อนและสถานบริการมากมาย
ร้านที่เราไปกินข้าวสภาพคล้าย ๆ ร้านข้ามต้มในเมืองไทย
สภาพก็ไม่เลอะเทอะนักแต่ก็เขรอะๆเหมือนไม่เคยเช็ดถู
อาหารก็เป็นผักสดให้เลือกแล้วก็สั่งว่าจะต้มจะผัดหรืออะไรก็ชี้ๆถามๆกันได้
อาหารได้เร็วทันใจมาก รสชาตินั้นก็ถือว่าใช้ได้
ระหว่างนั้นก็ได้เจอคนไทยที่เคยพบกันตรงด่านที่ท่าขี้เหล็ก
ทักกันเล็กน้อยแล้วก็แยกกันไปกินข้าวโต๊ะใครโต๊ะมัน ระหว่างกินข้าวพี่หลวงติ๊บชวนผมดื่มเบียร์
เริ่มจากเบียร์ไทยต่อด้วยเบียร์พม่า ปิดท้ายด้วยเบียร์จีนที่ซื้อขึ้นไปดื่มชมพระจันทร์กันกลางสะพานข้ามแม่น้ำ
คืนนี้พระจันทร์สวยทีเดียวพวกเรามองไปทางทิศตะวันออกก็เห็นพระธาตุบนภูเขาไกลๆติดไฟสีทองอร่ามตา
.................................................
.................................................
เราออกไปกินก๋วยเตี๋ยวง่ายๆเป็นอาหารเช้าแล้วก็ไปที่ตลาดเพื่อซื้อของกินสำหรับมื้อกลางวัน
ตลาดเช้าที่เมืองลาสะอาดสะอ้านดีทีเดียว โซนที่ขายของแบกับพื้นดูคึกคักน่าเดิน
ถัดเข้าไปเป็นตลาดที่สร้างเป็นหลังคาคลุมเหมือนตลาดเทศบาลที่เมืองไทย
แต่ของขายที่นี่ดูจะสดและน่าซื้อกว่า มีพวกสัตว์ป่าที่ถูกชำแหละมาวางขายกันด้วย
อย่าง กวาง เม่น เสือ เป็นต้น นอกจากนี้ก็มีงูเป็น ๆ ที่จับมาขายกัน เขาห้ามถ่ายรูปเพราะเป็นของผิดกฏหมาย
แต่เขาก็ไม่ได้ขายแบบแอบซ่อนอะไร ของที่ผมถูกใจที่สุดสำหรับที่นี่เห็นจะเป็นมันเผา
มันมีสองเนื้อ มันเผาเนื้อสีเหลืองนวลกินไปจะออกรสหวาน
แต่มันเผาเนื้อสีม่วงกินไปจะมัน ๆ แต่ผมก็ชอบทั้งสองแบบ
อยู่ชมวัดได้ไม่นานน้องเมย์ก็ขึ้นมาตามให้เราไปต่อ
ระหว่างทางผมนั่งหลับไปบ้างจนมาตื่นอีกทีก็ถึงปากทางเข้าวัดบ้านแสนแล้ว
เห็นมีชาวบ้านและพระเณรกำลังวุ่นๆทำอะไรกันสักอย่าง
และยังนั่งรถกระบะตามออกมากันอีกหลายรูป
เมื่อเข้ามาตามทางลูกรังสักระยะพี่หลวงติ๊บจอดรถแวะเติมน้ำ
เส้นทางต่อจากนี้คล้ายทางไปวัดหนองโหลง คือเป็นทางไต่คดเคี้ยวไปตามไหล่เขาด้านหนึ่งเป็นเนินเขาสูงขึ้นไปเหมือนกำแพงใหญ่
อีกด้านก็เป็นหุบเหวสูงชัน
แต่ห่างจากปากทางเข้ามาไม่ไกลผมก็สัมผัสได้ถึงไอเย็นของผืนป่า
เพราะเริ่มเข้าสู่เขตที่มีต้นไม้ใหญ่
ตรงนี้มีทางแยกแต่มันก็จะไปบรรจบกันที่หน้าวัดบ้านแง่ก
วัดบ้านแง่กตั้งอยู่ในมุมมองที่เรียบง่ายระหว่างซอกเขา วัดหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ล้อมเขตด้วยแนวกำแพงในรูปครึ่งวงรี โดยปล่อยด้านทิศเหนือที่ประชิดเนินเขาเอาไว้ มีถนนที่ตัดเซาะเนินเขาผ่านแนวกำแพงวัดทางด้านทิศใต้ อาคารในวัดสร้างอย่างสัมพันธ์กันเริ่มจาก ลานใต้ต้นโพธิ์ที่อยู่นอกกำแพงวัดทางทิศตะวันออก ถัดจากกำแพงเข้ามาก็จะมีวิหารหลวงเป็นประธานของวัด ที่ผนังสกัดด้านหน้าตกแต่งด้วยลายจำหลักไม้ปิดทองบนพื้นแดง เป็นซุ้มโขงประตูทรงปราสาทสี่ชั้น บานประตูแกะเป็นรูปทวารบาลเกี่ยวกระหวัดด้วยลายช่อก้านขด รวมถึงลายประกอบอื่น ๆ ที่จัดวางอย่างมีระเบียบแบบแผน แต่แฝงความเรียบง่ายและความเป็นท้องถิ่นไว้ในเนื้องานอย่างน่าดูชม ด้านข้างวิหารทางทิศเหนือมีชายคาเชื่อมกับอาคารโถงที่ยาวไปทางด้านหลัง น่าจะเป็นอาคารเอนกประสงค์ไว้สำหรับเลี้ยงพระหรือทำนองศาลาการเปรียญ ห่างจากวิหารมาอีกหน่อยเป็นอาคารทรงมณฑปหลังคาสองชั้น มองลอดช่องหน้าต่างเข้าไปก็แลเห็นว่าเป็นมณฑปคลุมพระธาตุเจดีย์ ด้านหลังวิหารเป็นหมู่กุฏิซึ่งจะลดระดับพื้นดินต่ำกว่าที่ตั้งของวิหาร ทั้งวัดเงียบเหงามากเห็นเณรเล่นเกมส์กดอยู่แค่รูปเดียว ตัววิหารก็ปิดล็อคไม่สามารถเข้าไปได้ น้องเมย์ทำท่าอยากจะเร่งเราให้ไปต่อ แต่เรายังอยากเดินไปดูทางด้านหลังวัด
ทางเข้าวัดถูกปรับพื้นที่เป็นลานโล่งไปยังข่วงโพธิ์หน้าวัด มีเนินสูงอยู่หน้าวัดผมเดินขึ้นไปบนเนินนั้นเพื่อจะถ่ายภาพจากมุมสูง ด้านบนถูก ผมได้ยินเขาเปิดทีวีเสียงดังลั่นเป็นเสียงเพลงภาษาอีสาน แล้ว
น้องเมย์เดินมาชวนผมไปดูหมู่บ้านของชาวบ้านแสน
ผมเดินออกจากเขตกำแพงวัดทางประตูชั้นล่างซึ่งเป็นเขตสังฆาวาส
เมื่อออกมาจะมีทางบันไดลงเนินไปยังสะพาน บันไดทำเป็นขั้นไม้กระดานตอกสลักเอาไว้ด้วยไม้ไผ่
ส่วนสะพานเป็นคอนกรีตสร้างอย่างมั่นคงถาวร
เด็ก ๆ ที่เล่นกันอยู่แถวๆนั้นเห็นเรากำลังจะเดินไปที่หมู่บ้านจึงพากันเดินตามมา เมื่อพวกเราเดินข้ามสะพานที่ข้ามลำห้วยไปก็จะเป็นทางบันไดขึ้นเนินไปยังซุ้มประตูหมู่บ้านแบบเดียวกับที่เห็นที่บ้านแง่ก
เมื่อเดินผ่านเข้าไปอีกหน่อยก็จะเห็นโรงเรือนขนาดใหญ่ ที่ใช้เป็นที่พักของชาวบ้านแสนนี้
ตัวเรือนสร้างเป็นอาคารยาวยกพื้นประมาณเมตรกว่า ๆ ใต้ถุนมีไม้ฟืนกองไว้เป็นจำนวนมาก
หน้าบ้านเป็นเฉลียงโล่งมีก๊อกน้ำที่ต่อขึ้นมาสำหรับใช้สอย
ประตูเพื่อเข้าสู่ด้านในมีเฉลียวทำด้วยไม้ไผ่สานเอาไว้บอกว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัว
พวกเราถือวิสาสะเปิดประตูเพื่อดูด้านใน
ด้านในนั้นมืดมากมองเห็นข้าวของด้านในได้ไม่ชัดเจน
เห็นแต่ว่ามีกระบะและเครื่องใช้ที่ดูเหมือนจะเป็นเตาไฟสำหรับประกอบอาหาร
จึงถ่ายรูปเอาไว้เพื่อนำออกมาดูทีหลัง
พวกเราเดินลงมาตรงลานโล่งด้านหน้าเรือนซึ่งมีชาวบ้านจับกลุ่มนั่งคุยกันอยู่กลางแดด
แดดบนนี้ไม่ร้อนเท่าไหร่นักอากาศก็ไม่อบอ้าว เด็ก ๆ วิ่งเล่นกันเป็นที่สนุกสนาม
สักพักเราก็เห็นเด็กผู้ชายวัยรุ่นสองคนวิ่งกลับเข้ามาในหมู่บ้าน
พร้อมกับลาหรือล่อผมก็ไม่แน่ใจ มันบรรทุกของมาบนหลังด้วย
พวกเราเดินกลับไปที่รถเพื่อนำของที่ซื้อมาไปมอบให้กับเด็ก ๆ พวกเราตะโกนเรียกเด็ก ๆ ที่อยู่ทางฟากของหมู่บ้านอยู่นานเพื่อให้ข้ามมารับของ
แต่เด็กน้อยพวกนั้นกลับคิดว่าเราโบกมือลา เลยทำให้พวกเราต้องนำของเดินไปที่หมู่บ้านอีกครั้ง
แต่พอเดินไปถึงที่กลางสะพานเด็กน้อยพวกนั้นก็วิ่งมาหาเราพอดี เด็กน้อยชายหญิงหลายสิบคนยืนอยู่ต่อหน้าเราที่กลางสะพาน
บางคนอุ้มน้องตัวเล็กๆมาด้วย พวกเราบอกกับเขาว่าจะให้คนละอัน
พวกเขาก็รับไปคนละอันไม่แย่งกันเลย ผมยื่นขนมอันหนึ่งให้เด็กผู้ชายที่ยืนอยู่ริม ๆ
เด็กน้อยคนนั้นชูสบู่ในมือให้ดูหมายความว่าเขาได้รับแล้ว
พวกเรากลับออกมาจากวัดบ้านแสนด้วยความสุขใจ
ไม่ใช้เพราะว่าการได้ให้ของใคร
แต่เพราะได้เห็นความจริงใจของผู้รับที่น่ารักน่าเอ็นดู
หนทางที่ดูทุรกันดารจึงไม่ทำให้เรานึกขยาดที่จะกลับมาที่นี่อีกครั้งถ้ามีโอกาส
เส้นทางต่อจากนี้ข้างทางก็เป็นท้องนาที่เริ่มมีกล้าปลูกกับทิวเขาที่อยู่ไกล ๆ บรรยากาศยามเย็นที่นี่ในวันนี้ช่างสดใสจริง ๆ
น้องเมย์ต้องไปยื่นเอกสารที่ตม.ก่อนจะพาเราไปส่งที่หอหลวงหรือโรงแรมนิงเชียงตุง
เราขอให้น้องเมย์กลับไปพักที่บ้าน
ซึ่งโชคดีที่เธอมีบ้านอยู่ในเชียงตุงทำให้เราได้ประหยัดเงินค่าที่พักในส่วนนี้ไปได้สองคืน
เมื่อเราพักผ่อนและทำธุระส่วนตัวแล้วก็พากันออกไปกินข้าว โดยมีน้องเมย์กับพี่หลวงติ๊บมารับที่โรงแรมตามเวลานัด
.........................................
๒ มกราคม ๒๕๕๖ ผมไปเดินเที่ยวกันในกาดหลวงเมืองเชียงตุงกันแต่เช้า ไปหาซื้อทานาคาและก็ไปลองชิมโรตีโอ่งซึ่งทำให้เราติดอกติดอกติดใจกันมาก โรตีโอ่งเป็นโรตีที่ทำให้สุกด้วยวิธีการนำไปแปะที่ผนังโอ่งร้อน ๆ แล้วนำมาทานกับครีมถั่วหรือนมข้นหวาน ผมถูกใจโรตีกับนมข้นหวานมากเป็นพิเศษ สามีภรรยาหนุ่มสาวที่เป็นเจ้าของร้านก็บริการลูกค้ากันอย่างขะมักเขม่น โดยเฉพาะพี่สาวผู้เป็นภรรยานั้นพูดจาไพเราะอ่อนหวานน่ารักมาก ส่วนผู้เป็นสามีที่ชงกาแฟอยู่ก็ยิ้มแย้มอย่างมีอัธยาศัยดี เมื่อกินโรตีโอ่งเสร็จเราก็เดินเล่นกันในตลาดอีกสักพัก และก็ขอให้น้องเมย์กลับไปก่อนเพราะว่าวันนี้เราไม่มีโปรแกรมไปเที่ยวไกล ๆ
.........................................
๒ มกราคม ๒๕๕๖ ผมไปเดินเที่ยวกันในกาดหลวงเมืองเชียงตุงกันแต่เช้า ไปหาซื้อทานาคาและก็ไปลองชิมโรตีโอ่งซึ่งทำให้เราติดอกติดอกติดใจกันมาก โรตีโอ่งเป็นโรตีที่ทำให้สุกด้วยวิธีการนำไปแปะที่ผนังโอ่งร้อน ๆ แล้วนำมาทานกับครีมถั่วหรือนมข้นหวาน ผมถูกใจโรตีกับนมข้นหวานมากเป็นพิเศษ สามีภรรยาหนุ่มสาวที่เป็นเจ้าของร้านก็บริการลูกค้ากันอย่างขะมักเขม่น โดยเฉพาะพี่สาวผู้เป็นภรรยานั้นพูดจาไพเราะอ่อนหวานน่ารักมาก ส่วนผู้เป็นสามีที่ชงกาแฟอยู่ก็ยิ้มแย้มอย่างมีอัธยาศัยดี เมื่อกินโรตีโอ่งเสร็จเราก็เดินเล่นกันในตลาดอีกสักพัก และก็ขอให้น้องเมย์กลับไปก่อนเพราะว่าวันนี้เราไม่มีโปรแกรมไปเที่ยวไกล ๆ
ช่วงสายๆเราออกจากโรงแรมมาเดินเล่นในเมือง เริ่มจากไปไหว้พระเจ้าหลวงในวิหารกลางวงเวียน หลังจากนั้นจึงเดินขึ้นไปตามทางซอยขึ้นไปบนดอยที่เป็นที่ตั้งของวัดจอมคำ วัดจอมคำเป็นวัดที่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นที่สุดในเมืองเชียงตุง เพราะมีเจดีย์สีทองอร่ามขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนเนินที่แลเห็นได้แต่ไกล ตัววัดมีอาณาเขตไม่กว้างขวางนัก หน้าวัดหันไปทางทิศตะวันออก มีวิหารหลวงอยู่หน้าเจดีย์ในแนวแกนเดียวกันทางทิศนี้ ภายในวิหารหลวงทำไว้กว้างขวาง สามารถจุผู้คนได้มากทีเดียว บนชุกชีมีพระประธานประดิษฐานอยู่ในซุ้มเรือนแก้วปั้นปูนตามขอบที่เจาะเป็นช่องทรงกลีบบัวไว้ที่ผนัง มีอีกสองช่องที่ทำประดิษฐานพระพุทธรูปขนาบประธานแต่ขนาดเล็กกว่าหน่อย นอกจากนั้นก็มีพระพุทธรูปอีกจำวนมากประดิษฐานอยู่จนแน่นชุกชี ทำให้พระประธานดูไม่โดดเด่นนัก เราเจอไกด์ที่พาฟรั่งมาเที่ยวเลยถามทางไปวัดอิน เขาบอกทางแล้วเราจึงเดินลงจากเนินเขาไปทางทิศตะวันออกซึ่งเป็นทางขรุขระลาดลงไป วัดอินอยู่บริเวณตีนดอยจอมคำทางทิศตะวันออก มองเห็นเจดีย์ทรงลังกาสีทององค์ใหญ่ได้แต่ไกล ระหว่างนี้ถนนรอบวัดอินกำลังทำการลาดยาง แต่กรรมวิธีต่างกันเพราะใช้รถบดและหินกรวดน่าจะเหมือนกับถนนลาดยางในเมืองไทยตอนนี้
ทางเข้าหลักของวัดอยู่ทางทิศใต้ วิหารซึ่งเป็นหลักของพุทธาวาสก็อยู่ทางทิศนี้ รูปร่างของวิหารคล้ายๆโบสถ์ของคาทอลิคอยู่เหมือนกัน เมื่อเราผ่านประตูที่สกัดหน้าเข้าไป ก็เจอกับกำแพงกั้นอีกชั้นหนึ่งด้านใน ที่กำแพงทำซุ้มประตูปั้นปูนประดับกระจกสวยงามทีเดียว เมื่อเราผ่านประตูนี้เข้าไปก็จะเป็นห้องโถงกว้างของวิหารหลวง เสาร่วมในนำสายตาไปสู่องค์พระประธานซึ่งประดิษฐานอยู่ในบุษบกแบบพม่า แสงแดดที่ส่องเข้ามาทางช่องหน้าต่างเหนือคอสองของเสาร่วมใน ทำให้ภาพภายในวิหารที่ผมได้เห็นขณะนั้นสวยงามจับตา
ด้านหลังพระประธานมีสกัดหลังแบ่งห้องให้ด้านหลังไว้อีกส่วนหนึ่ง ห้องนี้ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปิดทองจำนวนมาก แต่ละองค์ก็มีพุทธลักษณะชวนมองให้ดูได้ไม่เบื่อ และที่สำคัญมีเจดีย์ย่อมุมองค์ใหญ่อยู่ภายในวิหารนี้ด้วย ยอดนั้นสูงขึ้นไปตามความสูงของอกไก่ เจดีย์นี้มีทางให้เดินรอบได้และบริเวณทางแคบ ๆ บริเวณฐานเจดีย์ ที่สกัดหลังพระประธานมีศิลาจารึกตั้งอยู่ในคูหาเล็กๆด้วย พื้นที่ใช้สอยคร่าวๆของวัดอินคล้ายกับวัดพระธาตุจอมทอง คือมีพระประธานประดิษฐานอยู่ค่อนไปทางท้ายวิหาร มีเสาร่วมในนำสายตาจากทางด้านหน้าเข้าไป ขวามือของพระประธานจะมีธรรมาสน์และมีอาสนะสงฆ์ที่ทำยกพื้นขึ้นยาวมาตามแนวเสาร่วมในทางด้านนี้ ลักษณะของวิหารที่มีการใช้สอยแบบนี้ผมเคยพบในล้านนา และวิหารร้างในโบราณสถานของภาคกลางของประเทศไทย
อากาศตอนเที่ยงในเมืองเชียงตุงไม่อบอ้าวถึงแม้ว่าจะมีแดดจัด
พวกเราเดินกลับมาทางดอยจอมทองผ่านบ้านที่เขาตีมีดตีดาบจึงเข้าไปขอดู แล้วจึงกลับมาล้างหน้าล้างตาที่โรงแรม
โรงแรมนิวเชียงตุงโดยรวมแล้วสะอาดบรรยากาศก็ดีพอสมควร มาพักแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่นสบายใจ
อัธยาศัยของพนักงานโรงแรมก็ดีแต่เหมือนจะดูเกร็งกันเกินไปหน่อย
ช่วงเย็นเราออกเดินไปย่านประตูป่าแดง
การที่ได้เดินไปเรื่อย ๆ แบบนี้ทำให้ผมได้สังเกตสภาพภูมิประเทศภายในเมืองเชียงตุงไปด้วย
ที่ตั้งของเมืองเชียงตุงทำให้ผมนึกถึงบ้านเปียงหลวงที่เคยได้ไปเที่ยวมาเมื่อปีก่อน
บ้านเปียงหลวงตั้งอยู่บนเนินเขา มีบ้านเรือนปลูกไล่เรียงกันไปตามถนนบนสันเขานั้น
เมื่อมองจากหมู่บ้านบนเขาลูกนี้ ก็จะเห็นหมู่บ้านที่ปลูกอยู่บนเขาอีกลูกหนึ่งได้
ภาพบ้านเรือนที่ปลูกกันเป็นระดับบนไหล่เขา มีทางเล็กๆตัดเป็นซอยเข้าไปชวนให้เราเดินสำรวจได้อย่างเพลิน ๆ เชียงตุงก็เช่นกันแต่มีความซับซ้อนกว่าบ้านเปียงหลวงหลายเท่า
ถึงแม้ความเป็นเมืองใหญ่ของเชียงตุงกำลังเติบโตขึ้นทุกวัน
แต่ก็ยังนับว่ามีภาพของความเป็นเชียงตุงที่ถูกสั่งสมและค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงเรื่อยมาให้เห็น
การที่บ้านเมืองค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงนั้นย่อมทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างของเดิมกับสิ่งแปลกใหม่อย่างมีขั้นตอน
ทั้งในเรื่องของวัสดุและวิธีคิด การได้มาเห็นมาเยือนเชียงตุงตลอดจนเมืองม้า เมืองลา
บ้านหนองหลวง บ้านแง่ก บ้านแสน
ทำให้ผมเข้าใจว่าที่จริงแล้วการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องน่ากลัวถ้าเรามีเวลาทำใจเสียก่อน
การเปลี่ยนแปลงไปแบบฉับพลันทันทีนั้นต่างหากที่น่ากังวลใจ
มันดูจะใจร้อนเกินไปทำอะไรมันก็ขัดแย้งกันได้ง่าย
แต่การทำอะไรให้ได้เร็วอย่างใจเห็นจะเป็นที่นิยมของคนสมัยผมนี้จริง ๆ
เราเดินกลับมาที่ประตูป่าแดงแล้วไปที่สุสานเจ้าฟ้าเชียงตุงก่อนจะเดินกลับไปทางโรงแรมแล้วเลยไปดูคุ้มซึ่งเป็นตึกทรงฝรั่งอยู่ใกล้ๆกับหอหลวง คุ้มนี้น่าจะเป็นที่พักของเชื้อพระวงศ์เชียงตุงมาแต่เดิม ในเขตกำแพงคุ้มมีคนมาอาศัยอยู่เพราะมีบ้านเรือนปลูกอยู่ต่างหาก ส่วนในอาคารหลังเล็กที่พ่วงอยู่กับตึกใหญ่ก็มีคนมาอาศัยอยู่ แต่ตัวตึกใหญ่ดูจะปล่อยร้างไว้ ตึกใหญ่นี้สร้างไว้น่าอยู่ทีเดียวตัวตึกเป็นแบบฝรั่งแต่หลังคาเป็นทำนองเรือนพื้นถิ่น มีเฉลียงที่ชั้นสองด้านทิศใต้ซึ่งเป็นทิศที่หันไปหาหอหลวง ตัวตึกแวดล้อมไปด้วยสวนที่ปลูกพรรณไม้ง่าย ๆ แต่ก็ดูแลรักษาไว้ไม่ให้รกชัฏ
พวกเราเดินขึ้นไปทางด้านหลังวัดพระธาตุจอมคำเพื่อจะไปดูพระอาทิตย์ตก
แต่เสียดายที่ขอบฟ้าเมฆมากจนพระอาทิตย์ลับเข้ากลีบเมฆไปแล้ว
พวกเราจึงหันมาสนใจเด็กผู้หญิงตัวน้อยสองพี่น้องที่คุณแม่พาออกมาเดินเล่นกันหน้าบ้านแทน
...............................................
...............................................
๓ มกราคม ๒๕๕๖
ผมอออกจากโรงแรมกันตั้งแต่ตีห้าครึ่งเดินไปที่ตลาดหลวง ฟ้ายังไม่สว่างดีและตลาดก็ยังไม่เปิด
พ่อค้าแม่ค้ายังคงเตรียมร้านกันท่ามกลางความมืดรอบๆตลาด
ที่ประตูทางเข้าตลาดประตูถูกปิดล็อคไว้ไม่สามารถเข้าไปได้ต้องรอเวลาเปิดตอนหกโมงตามเวลาพม่า
หรือหกครึ่งตามเวลาไทย ซึ่งนับว่าค่อนข้างสายมากทีเดียว พวกเราจึงต้องเดินกลับไปที่โรงแรมเพื่อกินอาหารเช้าเสียก่อน
หลังจากมื้อเช้าเราก็กลับมาที่ตลาดและหาซื้อของที่อยากได้ให้หมด
แล้วก็แวะไปกินโรตีโอ่งร้านเดิม เมื่อกินเสร็จพี่สาวใจดีก็มาพูดคุยด้วยไมตรีจิต
สร้างความประทับใจให้เรายิ่งขึ้นไปอีก
เมื่อออกจากตลาดเรารีบไปที่สุสานเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุง
ผมนำดอกไม้ที่ซื้อมาไปสักการะเจ้าฟ้าเป็นการลากลับ
แล้วจึงรีบไปที่ท่ารถซึ่งอยู่แถวนั้นให้ทันเวลารถออกที่เราตกลงนัดกับน้องเมย์ไว้
แต่เมื่อไปถึงน้องเมย์กลับยังไม่มาและก็ไม่ได้เตรียมจองรถไว้ให้ เราจึงขอยืมโทรศัพท์ของพนักงานขายตั๋วรถ แล้วโทรไปตามน้องเมย์ให้น้องรีบมาจัดการเรื่องตั๋วรถให้
ระหว่างคอยเราจึงเดินย้อนกลับไปทางโรงเรม เพราะผมอยากจะเข้าไปถ่ายภาพคุ้มข้างหอหลวงนั้นอีกครั้ง
ระหว่างคอยเราจึงเดินย้อนกลับไปทางโรงเรม เพราะผมอยากจะเข้าไปถ่ายภาพคุ้มข้างหอหลวงนั้นอีกครั้ง
เรากลับมาถึงน้องเมย์ก็มาจองตั๋วรถเที่ยว ๙ โมงครึ่งให้
เราก็ไม่ค่อยชอบใจที่น้องผิดนัดแต่ก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร เมื่อเห็นยังพอมีเวลาเหลือจึงออกมาเดินเล่นไม่ไกลจากแถวนั้นอีก
และสุดท้ายก็ถึงเวลาที่เราต้องจากลาเมืองเชียงตุงกลับสู่ประเทศไทย
เส้นทางจากเชียงตุงไปสู่ท่าขี้เหล็กสวยงามน่าประทับใจ
เป็นของขวัญปิดท้ายส่งเราเดินทางกลับบ้านด้วยความสุขใจ
การเดินทางมาเชียงตุงในครั้งนี้ บทสรุปของมันคือความเรียบง่าย
วิถีชีวิตเดิม ๆ ของคนที่นี่กำลังเปลี่ยนแปลงไปเหมือนคนที่เติบโตไม่อาจหยุดนิ่ง
ผมเสียเงินมาที่นี่ในตอนนี้ เหมือนได้ชื้อช่วงเวลาหนึ่งในเมืองเชียงตุงนี้เก็บไว้
เหมือนกับเก็บภาพของตัวเองตอนอายุ ๑๔ ปีเอาไว้ เพราะถ้ามันผ่านเลยไปแล้วผมก็คงไม่อาจจะอายุ ๑๔ ได้อีกหน
ผมไม่รู้เลยว่าการพัฒนาในอนาคตจะเร่งให้เชียงตุงเปลี่ยนไปรวดเร็วแค่ไหน
แม้แต่ผมเองที่เป็นนักท่องเที่ยวก็เป็นส่วนหนึ่งของการนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
........................................................................................................................
ขอบคุณ
หนังสือ ทรรรศนะอุษาคเนย์ : ดร. เกรียงไกร เกิดศิริ และผลงานการวิจัยต่างๆของอาจารย์
ไปตามหาสถานีรถไฟเชียงตุง (Kyaing Tong Butayon) ที่พม่า
http://portal.rotfaithai.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=5680
ดาบเมืองหลูบเงิน และมีดหลูบเงิน หอกและอื่นๆ
http://www.konrakmeed.com/webboard/upload/index.php?showtopic=4975&st=270
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น